ศบค.เสนอ ‘บิ๊กตู่’ ใช้ยาแรง ‘เคอร์ฟิว’ ห้ามออกจากบ้านหลัง 4 ทุ่ม หลังยังคุมไม่อยู่

ศบค.เสนอ “บิ๊กตู่” ใช้ยาแรง “เคอร์ฟิว” หลังยังคุมไม่อยู่ โควิด-19 ระบาดต่อเนื่อง จับตาประชุม ครม.นัดพิเศษพรุ่งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมเพื่อสรุปสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในภาพรวมที่ยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการทบทวนมาตรการต่างๆ

รายงานข่าวจาก ศบค.เปิดเผยว่า ในระหว่างการประชุม ที่ประชุมหารือกันว่า หลังการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเป็นการยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ปรากฏว่ายังพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากยังคงปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นเดิมอาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้นายกรัฐมนตรี อาจต้องบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เต็มรูปแบบ ตามข้อเสนอจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) โดยเฉพาะการประกาศเคอร์ฟิว หรือห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานทั่วประเทศในช่วงเวลาประมาณ 22.00-04.00 น. ทุกวัน จากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการนำร่องในการออกมาตรการปิดเมือง ด้วยการกำหนดช่วงเวลาห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานไปแล้วในหลายจังหวัด และปิดร้านสะดวกซื้อและร้านขายของช่วงเวลา 00.00-05.00 น.

ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ระหว่างนี้อาจมีการให้เวลาประชาชนได้เตรียมตัวก่อน โดยนายกรัฐมนตรีจะแถลงประกาศอย่างเป็นทางการด้วยตนเองผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย อีกทั้งต้องจับตาว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ในวันพรุ่งนี้ (3 เม.ย.) จะมีความชัดเจนถึงมาตรการดังกล่าวออกมาหรือไม่ ซึ่งต้องรอการพิจารณาและหารือร่วมกันของคณะรัฐมนตรีเพื่อฟังแนวทางและความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ภายหลังพบผู้ปฎิบัติงานของ ศบค.ที่ทำเนียบรัฐบาล ติดโรคโควิด-19 ขณะนี้มีการกักตัวเพื่อสังเกตอาการเจ้าหน้าที่ ศบค.แล้วจำนวน 6 คน รวมถึงนายประทีป กีรติเรขา รองเลขาฯนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ในฐานะกรรมการและเลขานุการ ศบค. ไปแล้วนั้น ขณะเดียวกันได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้เข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติมว่า มีใครเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงอีกหรือไม่ รวมทั้งได้มีการเรียกตัวเจ้าหน้าที่และข้าราชการจากกรมประชาสัมพันธ์บางส่วนที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงเข้าตรวจเพื่อเพิ่มมาตรการในการป้องกัน