เปิดไทม์ไลน์ ‘แหกคุกบุรีรัมย์’ กว่า 9 ชม.คุมสถานการณ์ได้

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ผู้สื่อข่าวประจำ จ.บุรีรัมย์ รายงานลำดับเหตุการณ์ผู้ต้องขังก่อจลาจลในเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ เนื่องจากหวาดระแวงเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ตามลำดับเวลากว่า 9 ชั่วโมง ดังนี้

เวลาประมาณ 11.30 น ที่เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ริมถนนสายบุรีรัมย์ – ประโคนชัย ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ มีผู้ต้องขังชายประมาณ 100 คน ก่อเหตุจลาจล ทำลายประตูห้องเยี่ยมแล้วพยายามวิ่งหลบหนี และมีการจุดไฟเผาอาคารต่างๆ ทีละอาคารเป็นระยะ มีควันพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานรถดับเพลิงในพื้นที่และใกล้เคียงระดมฉีดน้ำ เพื่อสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามแต่ก็ทำด้วยความยากลำบาก เนื่องจากรถดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปภายในได้ ทำให้ไฟลุกไหม้อาคารทีละหลังเป็นระยะ ทั้งเรือนนอน โรงฝึกวิชาชีพ โรงอาหาร และภายในมีผู้ต้องขังทั้งชายหญิงรวมกว่า 2,000 คน

ต่อมา นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้เข้าบัญชาการเหตุการณ์ พร้อมทั้งขอกำลังสนับสนุนทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จากพื้นที่จังหวัดข้างเคียงเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งมี พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พล.ต สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เดินทางไปที่เกิดเหตุ ระดมหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจปราบจลาจล ทั้งในพื้นที่และใกล้เคียงร่วมปฏิบัติการคัดแยก นำนักโทษออกจากเรือนจำเพื่อนำไปฝากขังตามเรือนจำต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดข้างเคียง

เวลาประมาณ 15.30 น. สามารถนำผู้ต้องขังหญิงประมาณ 200 คน ออกมาได้ทั้งหมด ในขณะที่ภายในยังมีกลุ่มควันไฟลอยขึ้นเป็นระยะ ส่วนบริเวณภายนอกมีญาติผู้ต้องขังที่ทราบข่าวได้เดินทางไปดูเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังและไม่อนุญาตให้เข้าไปบริเวณที่เกิดเหตุ

เวลาประมาณ 17.30 น. เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และคัดแยกผู้ต้องขังชายไปฝากขังตามเรือนจำต่างๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง

ต่อมา พ.ต.อ.ณรัชต์เปิดเผยว่า เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์มีผู้ต้องขังประมาณ 2,200 คน เป็นหญิงประมาณ 200 คน เป็นชายประมาณ 2,000 คน ก่อนเกิดเหตุมีผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งมายืนออกันอยู่หน้าประตู และอีกส่วนหนึ่งได้เข้าไปในห้องเยี่ยมญาติ และทุบกำแพงหลบหนีไปได้ประมาณ 10 คน จากนั้น ได้สนธิกำลังทั้งเจ้าหน้าที่เรือนจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ทหารติดตามจับกุมได้ส่วนหนึ่ง ส่วนภายในเรือนจำได้พยายามแยกกลุ่มแกนนำซึ่งมีอาวุธเป็นมีดพร้า มีดาบ อาวุธดัดแปลงแต่ไม่พบอาวุธปืน กระจายตัวในเรือนจำใช้ผ้าปิดหน้า และร่างกายส่วน สภาพอาคารต่างๆ ภายในถูกเพลิงไหม้เสียหายเกือบทั้งหมด เหลือเพียงแดนพยาบาลที่ยังมีสภาพที่สมบูรณ์ และสามารถนำผู้ต้องขังชายประมาณ 1,500 คน ออกมาได้ จากนั้นชุดปฏิบัติการพิเศษได้เข้าไปคลี่คลายสถานการณ์พบผู้ต้องขังอีกประมาณ 500 คน อยู่ในอาการที่สงบไม่มีการต่อสู้ ไม่มีการใช้อาวุธ ไม่มีผู้เสียชีวิต มีเพียงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการหลบหนีจากการเยียบเศษแก้วเศษขวดเท่านั้น และมีทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย ส่วนจำนวนนักโทษ จำนวนผู้หลบหนี ผู้ที่ก่อเหตุ และมูลเหตุ ตลอดทั้งความเสียหายทั้งหมดจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยละเอียด อย่างรอบคอบ และดำเนินคดีเพิ่มกับผู้ก่อเหตุต่อไป

ทั้งนี้ พ.ต.อ.ณรัชต์ ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีผู้สูญเสีย ไม่มีบาดเจ็บสาหัส ไม่มีเหตุการณ์ทำร้ายผู้ต้องขัง และในระยะนี้งดการเยี่ยมญาติ ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันผู้ต้องขังภายในเรือนจำติดเชื้อโควิด-19