ปลัด สธ.แจงงบกลาง 1,500 ล้าน จัดซื้อยา-เวชภัณฑ์จากจีน-ญี่ปุ่น สู้โควิด-19

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ.ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวโรงพยาบาลขาดแคลนเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับใช้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า การจะควบคุมดูแลโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มี 2 ประเด็นคือ 1.ป้องกันจากภายนอกไม่ให้มีเชื้อเพิ่มรายใหม่ 2.ควบคุมผู้ป่วยยืนยันและผู้สัมผัสใกล้ชิด อย่างเข้มงวด ซึ่ง สธ.ได้ร่วมงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ตำรวจ ทหาร ทุกเหล่าทัพ พบว่าการควบคุมผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงที่ออกจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อออกไปต่างจังหวัดได้ดูแลเป็นอย่างดี ควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่กระจายได้

นพ.สุขุม กล่าวว่า ส่วนเรื่องของการเตรียมความพร้อมนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สนับสนุนงบกลางเพื่อจัดหาเวชภัณฑ์ให้แก่ สธ.จำนวน 1,500 ล้านบาท และ สธ.จะมอบให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อไปจัดหายา อาทิ ยาฟาวิพิลาเวียร์ ยาอื่นๆ ที่จำเป็น และอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการรักษาผู้ป่วย ด้วยระบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) ซึ่งเป็นการประสานกับประเทศจีน และญี่ปุ่น

“เราจึงตัดสินใจว่าจะเอาเงินทั้งหมดสั่งซื้อยาจากจีนเป็นล็อตใหญ่ โดยให้ผู้อำนวยการ อภ.เป็นคนประสานโดยซื้อแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ในการวางแผนสำรอง คือ ชุดป้องกัน PPE และหน้ากาก N95 จะต้องมีอย่างละ 2 ล้านชิ้น ส่วนยาจะต้องมี 340,000 เม็ด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน โรงพยาบาลเล็กๆไม่ต้องซื้อหน้ากากอนามัยแล้ว แต่ อภ.จะนำส่งให้เลย โดยเงินก็จะจ่ายจากกองกลางที่เราได้มาจ่ายให้ทั้งหมดเลย” นพ.สุขุม กล่าว

นพ.สุขุม กล่าวว่า จะมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อกระจายเวชภัณฑ์ในสภาวะโรคติดต่อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้ อภ. เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โรงเรียนแพทย์ สามารถเบิกอุปกรณ์เหล่านี้ได้ โดยที่ไม่ต้องเสียงบประมาณ ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับได้เมื่อมีผู้ป่วยในการดูแล ในสถานพยาบาล รวมถึง โรงพยาบาลต่างจังหวัดจะมีการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อช่วยในการติดตามยอดการใช้อุปกรณ์ในต่างจังหวัดให้มีการกระจายทั่วทุกพื้นที่