‘บิ๊กตู่’ ถกสธ.ระดมสมองแก้โควิด ยกมาตรการเข้ม ทุกประเทศเข้าไทย ต้องมีใบรับรองแพทย์

“บิ๊กตู่” มอบนโยบายสธ. เชิญทีมแพทย์โรคระบาด ระดมสมองแก้โควิด-19 ชื่นชมระบบคัดกรอง พบคนติดเชื้อเพิ่ม ลั่นให้อำนาจผู้ว่าฯปิดพรมแดน ขู่ย้ายหากบริหารไม่ได้  ยกมาตรการเข้มทุกประเทศเข้าไทย ต้องมีใบรับรองแพทย์ปลอดโควิด-19 

 

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) ในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบาย พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสธ. นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดสธ. รวมถึงผู้บริหารสธ. และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายกฯ กล่าวก่อนการประชุมมอบนโยบาย ว่า การเดินทางมายังสธ.วันนี้ เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นอันดับแรก จึงอยากมาฟังมุมมองทางการแพทย์ทั้งจากคนเก่าและใหม่ ว่าเราต้องมีการเตรียมการเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งจากสถิติการตรวจพบผู้ป่วยรายใหม่พบมีจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคดังกล่าวมากขึ้น แต่ตนคิดว่าการตรวจพบเชื้อผู้ป่วยรายใหม่เป็นสิ่งที่ดีกว่าการตรวจไม่พบ แต่สิ่งสำคัญคือขณะนี้สังคมเกิดความตื่นตระหนก แต่จะทำอย่างไรให้เกิดความเชื่อมั่นด้วยความร่วมมือของเราทุกคน วันนี้เราจึงแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน โดยในส่วนรัฐบาลที่มีมาตรการออกไปแล้ว อีกส่วนคือผู้ว่าราชการจังหวัด และสาธารณสุขจังหวัดที่ต้องทำงานให้เข้มงวดมากขึ้น โดยกระทรวงมหาดไทย (มท.1) จะต้องกำกับดูแล พร้อมรายงานผลดำเนินการกลับมาเพื่อสร้างความรู้แก่ประชาชน

จากนั้นเวลา 13.00 น. นายกฯ แถลงผลภายหลังการประชุมว่า วันนี้ได้มีการหารือร่วมกันทั้งในฝ่ายของรัฐบาล ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งปลัดสธ. อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ต่างๆ รวมไปถึงแพทย์ที่ทำงานภาคเอกชนถือเป็นการทำงานทุกภาคส่วน อย่างไรก็ตาม วันนี้ไม่ได้เป็นการประชุมกับส่วนราชการเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยตนต้องการให้ความเชื่อมั่นและได้รับฟังความเชื่อมั่นจากทั้งสองฝ่ายถือว่ารับได้ ตนจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ต้องทำได้จริงในระยะต่อไป ซึ่งกระบวนการแก้ปัญหาต้องเป็นไปตามขั้นตอน เป็นไปตามกฎหมายและสถานการณ์และที่จะเกิดขึ้น วันนี้แม้จะพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น แต่ก็ต้องชื่นชม เพราะระบบคัดกรองการติดตามของเราที่สามารถติดตามได้มากขึ้น เรามองตรงนี้ สิ่งสำคัญที่สุดต้องทราบว่าที่หาเจอนั้นมาจากไหน เริ่มการแพร่ระบาดจากตรงไหน เช่น สนามมวย หรืออาจจะเป็นบาร์ ผับต่างๆ เหล่านี้ คือสิ่งที่เรากำลังดำเนินการต่อเนื่อง

“ผมยืนยันว่าทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่มีการติดโรค ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตที่แสดงมาแล้วและเป็นข่าว ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจสอบคัดกรองทั้งสิ้น ต้องติดตามตัวให้ครบ และอย่างที่ได้บอกแล้วว่ารัฐบาลห้ามจัดคอนเสิร์ตในช่วงนี้ ฉะนั้นขอความร่วมมือด้วย สิ่งสำคัญที่สุดวันนี้รัฐบาลได้ประกาศมาตรการไปแล้ว 6 มาตรการ ซึ่งเป็นการให้อำนาจกับฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าฯกทม. ซึ่งสามารถกำหนดมาตรการเพิ่มเติมจากกรอบใหญ่ที่ให้ไป เช่น การปิดสถานที่ต่างๆ วันนี้ให้ไปในเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถ้าจะปิดในต่างจังหวัดก็ได้ ถ้าเป็นสถานที่ที่เข้าข่ายที่มีความเสี่ยง ผับต่างๆ ซึ่งตอนนี้ทราบว่าจังหวัดที่มีข่าวเรื่องผับใหญ่ก็ปิดไปแล้วก็มีอำนาจในการปิดตรงนี้ การปิด 14 วัน เมื่อจะเปิดใหม่ต้องไปสอบตรวจว่ามีความปลอดภัย ความพร้อมเพียงพอหรือไม่ ถ้ายังไม่สามารถขยายอีกได้นั้นคืออำนาจที่ตนได้ให้กับพื้นที่ไปแล้ว” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น 14 วันนี้ตนอยากขอร้องไปยังข้าราชการระดับพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ว่าฯ คณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัด ประจำพื้นที่ต้องทำงานอย่างเด็ดขาด และต้องรายงานผลการปฎิบัติทุกมาตรการที่รัฐบาลออกไปแล้วให้ตนทราบทุกวัน ผ่านช่องทางของกระทรวงมหาดไทย เข้ามาที่ศูนย์ฯโควิด-19 ซึ่งตนติดตามทุกวัน ตั้งแต่สนามบินต้นทาง สนามบินในประเทศมาสู่ในเรื่องของการคัดกรอง คัดแยก ซึ่งมีการรายงานมายังตนทุกวัน ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบและติดตามสถานการณ์ และปรับมาตรการต่างๆ ให้เพิ่มขึ้น วันนี้เรากำลังสกัดกั้นการนำเชื้อเข้ามาในประเทศ ถึงบอกว่าการเข้ามาต้องมีใบรับรองแพทย์ ประกันสุขภาพ โดยทุกคนที่เข้าประเทศไทยต้องมี ซึ่งเดิมเฉพาะ 4 ประเทศบวก 2 เขตปกครองพิเศษ แต่ทุกวันนี้ทุกประเทศที่เข้ามา ทั้งนี้ เพื่อสกัดกั้นการเข้ามาให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อจะควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ และติดตามด้วยแอพพลิเคชั่น

เมื่อถามว่า เพื่อนบ้านประเทศไทยเริ่มประกาศปิดพรมแดน ในส่วนของไทยจะมีมาตรการดังกล่าวเพิ่มหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทำไมเราต้องแปลไทยเป็นไทยด้วยไม่รู้ เมื่อกี้ตนได้พูดไปแล้วว่าต่างประเทศที่จะเข้ามาต้องมีใบรับรองแพทย์ ส่วนรอบบ้านเราก็มีความเกี่ยวข้องกับผู้ว่าฯ จะปิดช่องทางพรมแดนหรือไม่ อยู่ที่อำนาจผู้ว่าฯ เพราะได้ให้อำนาจไปแล้ว และให้รายงานตนมา

เมื่อถามว่าหากเป็นคำสั่งหรือมติจากรัฐบาลจะเข้มแข็งและน่าเชื่อถือมากกว่าหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า หากผู้ว่าฯทำไม่ได้ก็ย้ายผู้ว่าฯ จะยากตรงไหน

เมื่อถามว่าขณะนี้เรามีสัญญาณความเสี่ยงอะไรที่สถานการณ์จะยกไปสู่ระยะที่ 3 นายกฯ กล่าวว่า ให้ถามที่ประชุม ถามหมอจะบริหารให้ตามข้อมูลของหมอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมครั้งนี้ใช้เวลา 2 ชั่วโมง โดยสธ.ได้เชิญบุคลากรทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวด้านโรคระบาดที่เกษียณอายุราชการไปแล้วมาให้คำแนะนำ อาทิ ศ.เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีตรัฐมนตรีสธ. นพ.อุดม คชินทร อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น เนื่องจากบุคลากรเหล่านี้เคยทำงานในช่วงที่ประเทศไทยเคยมีโรคระบาด เช่น ไข้หวัดนก เป็นต้น โดยรัฐบาลได้ขอความร่วมมือให้มาเป็นที่ปรึกษาในการช่วยแก้วิกฤตโรคระบาดโควิด-19

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังถามถึงกรณีตำรวจติดตามรัฐมนตรีกระทรวงการคลังมีข้อกังวลอะไรหรือไม่ นายกฯ ปฏิเสธตอบคำถาม แต่ขอให้สื่อช่วยเผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์โควิด-19 ตามที่รัฐบาลได้แถลงในแต่ละวันด้วย
ด้านนายอนุทิน กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการสังเกตอาการของครม.ทุกคนอยู่แล้ว และมีการคัดกรองทุกคน ก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม โดยขณะนี้เห็นว่ายังไม่จำเป็นให้มีการประชุมครม.ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากที่บ้าน