‘จตุพร’ อัด รบ.ไม่มีมาตรการชัดเจนแก้วิกฤติโควิด-19 รัฐบาลไม่คิดเรื่องเสียสละได้จบไม่สวย!

วันที่ 15 มีนาคม 2563 ที่ร้านกาแฟ พีซคอฟฟี่แอนด์ ไลบรารี่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 5 มีการจัด รายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีซทีวี โดยมีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.มาพบปะพูดคุย ร้องรำทำเพลงกันสนุกสนานกันเป็นประจำทุกสัปดาห์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า วันนี้จะสนทนาในหัวข้อ การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นเพราะในห่วงเวลานี้ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าสภาพการณ์ของคนไทยวันนี้เหมือนกับคนทั้งโลก ที่มีความวิตกกับการเเพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 และส่วนตัวเชื่อว่า จะอย่างไรก็ตามการเเพร่ระบาดจะเข้าสู่ระยะที่ 3 อย่างแน่นอน แม้วันนี้จะอยู่ในระยะที่ 2 ก็ตาม / แต่ไม่มีใครกล้ายืนยันแม้แต่เพียงคนเดียว เพราะต่างก็รู้กันว่าหากยังอยู่ในลักษณะเช่นนี้ เราก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ยิ่งไปกว่านั้นความตื่นตระหนก ของประชาชนจำนวนมากเริ่มมีความเชื่อว่าจะต้องไปกักตุนอาหาร เสมือนหนึ่งว่าถึงขั้นวิกฤต และความเชื่อดังกล่าวจะลุกลามไปเรื่อยๆ เพราะการตื่นตระหนกดังกล่าวเป็นผลมาจากการบริหารจัดการของรัฐบาล ทั้งกรณีแรงงานไทยที่เดินทางมาจากประเทศเกาหลีใต้ / เรื่องการกักตุนหน้ากากอนามัย ที่ล่าสุดมีคำสั่งย้าย อธิบดีกรมการค้าภายใน ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เราไม่เคยมีหน้ากากอนามัยราคา 2 บาท 50 สตางค์ ไม่สามารถควบคุมอะไรกันได้ / แต่เมื่อปรากฏคลิปวีดีโอของชายคนหนึ่งที่บอกว่ามีหน้ากากอนามัยกักตุนไว้ถึง 200 ล้านชิ้น ก็ยิ่งทำให้เกิดความวิตกกันอีกและท้ายที่สุดก็ไม่สามารถจะเอาผิดใครได้ ต่อมาโฆษกกรมศุลกากรก็แถลงว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีการส่งออกหน้ากากไปต่างประเทศ ทำให้อธิบดีกรมการค้าภายในไปแจ้งความดำเนินคดีกับโฆษกกรมศุลกากร ท้ายที่สุด อธิบดีกรมการค้าภายในก็โดนเด้ง

ตนอยากบอกกับนายกรัฐมนตรีว่า การบริหารจัดการหน้ากากอนามัยนั้นเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ดังนั้นเรื่องจำนวนหน้ากาก ทำให้เกิดความเชื่อ 2 อย่างในขณะนี้คือ พวกหนึ่งกักตุนแล้วไปขายเกินราคา ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าในทางการข่าวนายกรัฐมนตรีต้องรู้ว่าใครไปดำเนินการในลักษณะดังกล่าว เพราะปริมาณจำนวนมากขนาดนี้คนนอกเข้าไปเกี่ยวข้องได้ยาก มีแต่คนในกลไกรัฐเท่านั้นที่ทำได้

อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นกระทรวงที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวโดยตรง ก็ไม่ได้สะท้อนวิถีคิดว่าจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร แม้แต่การย้ายอธิบดีกรมการค้าภายในก็ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเพราะการรับผิดชอบอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หากจำเป็นจะเด้งก็ต้องเด้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และที่สำคัญที่สุดหากรัฐบาลยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ก็ต้องเด้งกันทั้งรัฐบาลจึงจะสมเหตุสมผล /วันนี้หากประเทศไทยมีการเมืองที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเจอวิกฤตอะไรต่างๆที่ผ่านมา ก็สามารถร่วมมือกันช่วยเหลือกันได้ แต่วันนี้ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะออกมาแถลงอย่างเป็นทางการให้ประชาชนได้ทราบ หรือแม้กระทั่งบรรดาเจ้าสัวทั้งหลาย เจ้าของโรงพยาบาลทั้งหลายที่เป็นเอกชนจะมาร่วมมือกัน / ซึ่งล่าสุดมีการพูดถึงการตรวจรักษาว่ามีราคาเเพง แทนที่รัฐบาลคิดแต่จะแจงเงิน ก็ประกาศให้ชัดว่า ประชาชนสามารถตรวจการติดเชื่อไวรัสโควิด 19 ฟรีทุกคน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคนไม่ต้องการเงินแต่คนต้องการหน้ากากอนามัย ต้องการความมั่นใจว่าไม่ได้ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 แต่รัฐบาลกลับไม่ใช้โอกาสนี้ในการบริหารจัดการในการหลอมคนไทยในชาติมาร่วมกันเสมือนหนึ่งว่าประเทศอยู่ภายใต้วิกฤตสงครามว่าจะให้ประชาชนทำอะไร จะร่วมมือกันอย่างไร และแต่ละฝ่ายจะร่วมเสียสละกันอย่างไร แต่กลับไม่มีมาตรการอะไรที่ชัดเจน

นายจตุพรกล่าวถึง 6 ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เป็น ส.ว.ประกาศไม่รับเงินเดือนในตำแหน่ง ส.ว.ว่า ที่ตนบอกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นนั้น ก็มีคนแสดงเจตนาเริ่มต้นแล้ว โดยเริ่มจาก ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ออกมาแถลงว่าจะไม่ขอรับเงินเดือนในตำแหน่งส.ว. ที่เป็นโดยตำแหน่งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และจะคืนเงินเดือนที่เคยได้รับมาทั้งหมดในตำแหน่ง ส.ว. หลังจากนั้นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ รวมถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ปฏิบัติตาม โดยเริ่มต้นด้วยการเสียสละว่าต่อไปนี้แม้ว่าตำแหน่งส.ว. ตามที่รัฐธรรมนูญบังคับให้เป็น ก็ไม่ขอรับเงินเดือน ซึ่งหากมองอย่างผิวเผินก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไร ก็มีคนมาถามตนว่าแล้วจะนำไปสู่อะไร ตนจึงบอกไปว่าไม่อยากทายเดี๋ยวทายถูก

แต่วันนี้เริ่มนับหนึ่งแน่นอนแล้วว่า บรรดาเเม่ทัพนายกองได้เริ่มต้นแล้ว ต่อไปก็ต้องถามรัฐบาลว่าจะเสียสละกันบ้างได้แล้วหรือยัง ซึ่งการเริ่มต้นของผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นการประติดประต่อกันทางการเมือง และเป็นการส่งสัญญาณที่เริ่มมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า รัฐบาลเองก็ต้องเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองบ้าง ซึ่งจากการกระทำดังกล่าวของผู้บัญชาการเหล่าทัพในทางการเมืองถือว่าเป็นสัญญาณแรงและส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลโดยตรง ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ หากยังยึดติดอยู่กับเรื่องเงินเดือน /เรื่องตำแหน่ง/ เรื่องหน้าที่ ไม่มีวันที่จะแก้ไขปัญหาชาติได้ ซึ่งมีหลายคนได้ตั้งคำถามว่า หากเกิดกรณีการเปลี่ยนม้ากลางศึกกัน แล้วใครจะมาดูแลเรื่องไวรัสโควิด 19 นั้นส่วนตัวมองว่าใครก็ได้ ที่มีศักยภาพในการหลอมรวมความรู้สึกของคนภายในชาติและบริหารจัดการ ในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นการส่งสัญญาณของแม่ทัพนายกองทั้งหลาย รัฐบาลต้องคิด หากวันนี้รัฐบาลยังไม่คิดเรื่องการเสียสละ ตนเชื่อว่าจบไม่สวย