“กรณ์” ผงาด หัวหน้าพรรคกล้า ชูนั่งนายกฯ ประกาศ 4 อุดมการณ์ ยันไม่อยู่ขั้วไหน

เมื่อวานนี้ (7 มีนาคม 2563) ที่อาคารบางกอกทาวเวอร์ พรรคกล้า จัดประชุมผู้ร่วมจัดตั้งพรรค เพื่อพิจารณาเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค รวมถึงพิจารณาคำประกาศอุดมการณ์ นโยบาย และข้อบังคับพรรค โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งกว่า 500 คนเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งก่อนเข้าประชุมมีการคัดกรองตรวจอุณหภูมิ วัดไข้ แจกหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ เพื่อปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

จากนั้นคัดเลือกกรรมการบริหารพรรค จำนวน 9 คน คือ 1.นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า 2.นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค 3.นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค 4.นายภิมุข สิมะโรจน์ รองหัวหน้าพรรค 5.นายพงษ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรค

6.นายณัฐนันทน์ กัลยาศิริ นายทะเบียนพรรค 7.นายเอราวัณ ทับพลี เหรัญญิกพรรค 8.นายเบญจรงค์ ธารณา กรรมการบริหาร และ 9.นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร กรรมการบริหาร

นอกจากนี้ยังมีการประกาศ 4 อุดมการณ์ทางการเมือง คือ 1.ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เข้มแข็งมั่นคง ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.ปฏิบัตินิยมคู่คุณธรรม นำไทยก้าวหน้า ทันสมัย พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงและวิกฤตการณ์ของโลก 3.ระบบเศรษฐกิจเสรีมีความรับผิดชอบต่อสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมการแข่งขัน ขจัดการผูกขาด และ 4.คนไทย ครอบครัวไทย ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

นายกรณ์ กล่าวหลังได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกล้า ว่า ขอขอบคุณผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกล้าทุกๆ ท่านที่สละเวลามาช่วยกันสร้างพรรค ทุกคนมาด้วยความตั้งใจที่จะสร้างพรรคการเมืองที่เป็น ที่พึ่งให้กับประชาชนคนไทย ทุกคนมาด้วยเจตนามุ่งมั่นที่จะทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการทำให้คนไทยมีความหวังในอนาคตที่ดีขึ้น พวกเราในพรรคกล้า หลายคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หลายท่านเดินเข้ามาโดยที่ไม่รู้จักตนหรือใครคนอื่นเป็นการส่วนตัว

แต่เข้ามาเพราะเห็นว่านี่คือที่รวมตัวของคนจากทุกสาขาอาชีพที่อยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น เชื่อว่าหลายคนในที่นี้คงเหมือนกันคือ ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคการเมือง แต่วันนี้เรามีทั้งนักธุรกิจ เกษตรกร ลูกจ้าง นักวิชาการ และนักการเมืองที่มีความคิดเหมือนกัน กลายเป็นเรื่องที่มั่นใจเต็มร้อยว่า ตอนนี้ไม่ทำไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งที่กังวลคือเมืองไทยวันนี้ ตอบโจทย์ผู้ที่มีแล้วเพียงไม่กี่คน แต่ไม่ให้ความหวังกับคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่มี

“ความตั้งใจแรกของการตั้งพรรคคือ ต้องการจะให้พรรคกล้าเป็น แพลตฟอร์มหรือพื้นที่ให้กับผู้มีของ และผู้ที่เชื่อในศักยภาพของประเทศไทย ตนเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าอนาคตของประเทศ ขึ้นอยู่กับการกระทำของคนในประเทศนั้น ๆ บางประเทศไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเอง

แต่คนของเขาทำให้ประเทศเจริญได้ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์ แต่ไทยเรามีทุกอย่าง แต่สิ่งที่ยังขาดคือ การลงมือทำ ทำด้วยความรู้ ความตั้งใจ และความบริสุทธิ์ใจ และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีความกล้า

ผมอดขำไม่ได้ว่าทันทีที่เราประกาศตั้งพรรค ก็มีคนพยายามจะให้เราเป็นพวกกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่มีความขัดแย้งกันอยู่ ฝั่งขวาก็บอกว่า เราจะเข้าพวกกับฝั่งซ้าย และฝั่งซ้ายก็บอกว่าเราจะเป็นพวกกับฝั่งขวา ผมขอประกาศบนเวทีในวันนี้ว่า พรรคกล้าไม่ใช่พรรคของฝ่ายใด เราไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคในสังกัดของใคร และเราจะไม่ปฏิเสธความคิดดีๆ ของใคร ไม่ว่าเขาเคยเลือกหรือสนับสนุนพรรคใดที่ผ่านมา ขอเพียงหวังดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และมีความพร้อมที่จะทุ่มเททำงานเพื่ออนาคตที่ดีของคนไทยทุกคน”นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวต่อว่า วันนี้คนไทยกำลังพบกับความท้าทายรอบด้าน สังคมแตกแยก การทำมาหากินลำบาก ระบบราชการอุ้ยอ้าย คนเก่ง คนทำงานไม่มีโอกาส กฎหมายล้าสมัย เทคโนโลยีล้าหลัง ปัญหาพื้นฐานขาดการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็น เรื่องน้ำและที่ดินของเกษตรกร เรื่องการศึกษาของเยาวชน

เหล่านี้คือภารกิจของเรา เราจะรวมตัวคนมีของในแต่ละด้าน และชักชวนเขามาทำงานการเมือง ประเทศต้องอาศัยมืออาชีพทำงาน พวกเราทุกคนในพรรคกล้าขอประกาศว่า “เรามาเพื่อลงมือทำ”

ด้าน นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า สัญลักษณ์พรรคกล้ารูปมือที่หมายถึงการลงมือทำ และมีรูปทรงคล้ายหลอดไฟ ที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ด้วย และขอย้ำว่านายกรณ์เป็นพี่ที่ตนนับถือ ซึ่งเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุคที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นผู้ที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นบวก และรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานกับนายกรณ์ ที่กล้าตัดสินใจออกจากตำแหน่ง ส.ส. ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ร่วมกันทำพรรคกล้าให้ดีที่สุด และอยากเห็นนายกรณ์เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย