‘พิธา’นำทัพแถลงปิดอภิปราย จี้ รบ.ปรับครม. เผย เคลียร์ใจเพื่อไทยแล้ว เดินหน้าทำงานต่อ

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เมื่อเวลา 12.20 น.ที่รัฐสภา ชั้น 3 ห้องวอร์รูม นายพิธา ลิ้มเจิรญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะแกนนำของกลุ่มอดีตส.ส.พรรคอนาคตใหม่ พร้อมด้วยนายคารม พลพรกลาง นายธีรัจชัย พันธุมาศ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร และ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ร่วมกันแถลงการปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

โดยนายพิธา กล่าวว่า พวกเรายังยืนยันในเนื้อหาของการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ในเรื่องความล้มเหลว ความไร้ประสิทธ์ภาพ ความไม่ชอบธรรม ความไม่เหมาะสม และคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้ง 6 คน ทั้งในสภา และนอกสภา ถึงแม้ว่ากระบวนการจะขรุขระไปบ้าง แต่การที่พวกเรายืนยันเข้าร่วมการโหวตในวันนี้ ก็เพื่อทำหน้าที่ ส.ส. ที่ประชาชนเลือกมา ซึ่งพี่น้องประชาชนส่งข้อความมาถึงพวกเราให้ทำหน้าที่ส.ส. ให้เต็มที่ อย่างที่ได้ทำมาตลอดการอภิปราย ยืนยันว่าการทำงานที่ผ่านมาเต็มที่ทุกมิติ และเชื่อว่าประชาชนได้รับประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเสียงข้างน้อย แต่เราก็ยังสู้ในสภาเต็มที่ ทุกคนทั้งส.ส. และทีมงานที่อยู่เบื้องหลัง

นายพิธา กล่าวต่อว่า ในแง่ของผลลัพธ์ เรายังเชื่อว่าการโหวตของส.ส.รายบุคล ที่โหวตให้รัฐมนตรีแต่ละคนไม่เท่ากัน น่าจะส่งผลไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่เร็วก็ช้า แต่เรื่องของนอกสภา ในระยะกลางตนคิดว่ามันเกิดสถานการณ์ป่าล้อมเมืองแล้ว เพราะว่า 2-3 วันที่ผ่านมาเป็นการส่งต่อข้อมูลข้อเท็จจริงความไม่ชอบมาพากล ความล้มเหลว และความไร้ประสิทธิภาพไปให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนคนรุ่นใหม่ที่ตื่นรู้ กับปัญหาของบ้านเมือง ปัญหาของระบบที่มีอยู่ จึงทำให้คนตื่นตัวมากขึ้น

ส่วนการตัดสินใจเข้ามาโหวตในสภา ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติว่าจะไม่ร่วมโหวตนั้น นายพิธา กล่าวว่า ช่วงเวลานั้นเราอยู่ระหว่างการอภิปรายนอกสภา จึงไม่ได้เข้าร่วมประชุม และไม่ทราบมติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และประชาชนที่เป็นเจ้านายของเราได้บอกให้เราเข้ามาโหวต

นายคารม กล่าวว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีข้อสังเกตว่ามีเวลาเหลือ 5 ชั่วโมง ถ้าจัดสรรไม่ไปยึดกับเงื่อนเวลาและเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้อภิปราย บรรยากาศจะดีกว่านี้มาก แต่เมื่อรัฐบาลเลือกเดินทางเช่นนี้ เสียงข้างมากยึดกุมสภาไว้ ในลักษณะเช่นนนี้ก็ต้องหารือว่าจะมีช่องทางทำอย่างไรได้บ้าง ทั้งนี้พรรคจะติดตามในกรณีที่น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ที่ตอนนี้อยู่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ได้เปิดเผยในเรื่องการทุจริต 1 MDB ซึ่งส่งผลกระทบกระเทือนรัฐบาล รวมทั้งกรณีที่น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ออกมาเปิดเผยการขอซื้อตัวส.ส. ก็ถูกข่มขู่ และได้ไปแจ้งความดำเนินคดีแล้ว โดยพรรคจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้อยากฝากไปยังรัฐบาลให้ช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย

นายคารม กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ส.ส.ได้ย้ายไปสังกัดพรรคอื่น เรื่องนี้รัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ให้ย้ายได้ภายใน 60 วัน แต่เมื่อมาถึงทางสองแพร่ง มันเป็นการแสดงจุดยืนทางการเมืองว่าจะไปตรงไหน และต้องขอบคุณ ส.ส.ทั้ง 55 คนที่ยังอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย และเราจะเดินไปข้างหน้าในพรรคการเมืองที่เราจัดสรรขึ้น ส่วนมีผลประโยชน์หรือไม่ตนตอบไม่ได้ เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องติดตาม

ส่วนกรณีของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เรื่องต้องคำพิพากษาของศาลรัฐนิวเซาส์เวล ประเทศออสเตรเลีย ตามที่ส.ส.ของพรรคได้อภิปรายไป ในเรื่องของคุณสมบัติมีช่องทางตรวจสอบ คือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราได้นำเสนอสู่สาธารณะ และเป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะพิจารณาดำเนินการอย่างรต่อไป และสังคมต้องท้วงติงว่าสมควรเป็นรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่

เมื่อถามว่า แนวทางของพรรคจะเป็นอย่างไงต่อไป นายพิธากล่าวว่า พวกเรายังเหนียวแน่นกันอยู่ทั้ง 55 คน ยังยึดในแนวทางอุดมการณ์เดิมของพรรคอนาคตใหม่ เมื่อจบเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสัปดาห์นี้ เราก็จะเดินทางร่วมกันไปต่างจังหวัด เพื่อถอดบทเรียนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และสร้างพรรคให้เข้มแข็งมากกว่าเดิม

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับพรรคร่วมฝ่ายค้าน นายพิธา กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านในภาพใหญ่ก็ต้องทำงานร่วมกันต่อไป ส่วนในเรื่องปลีกย่อยรายละเอียดก็ยังต้องมาถอดบทเรียนซึ่งกันและกัน ส่วนความเคารพก็ยังมีอยู่ ที่สำคัญคือประชาชนจับตาดูอยู่ และเชื่อว่าประชาชนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกเราพยายามที่จะทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นเป็นรายบุคคล ไม่ได้จำกัดที่เวลาอย่างเดียว แต่ต้องยอมรับว่ามีรัฐมนตรี 2 คนที่แทบจะไม่ได้ถูกอภิปรายในสภา ส่วนได้เคลียร์ใจกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า ก็มีการพูดคุยกัน และหาทางให้ทำงานร่วมกันได้ในอนาคต

ด้านนายคารม แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า การทำงานร่วมกับฝ่ายค้าน ต้องเดินต่อไป แต่ต้องมีหลักว่า แม้เราจะเป็นพรรคการเมืองใหม่ ก็ต้องให้เกียรติกัน และอยากจะขอร้องไปพรรคการเมืองใหญ่ว่าต้องให้เกียรติกัน การทำงานในสภาฝ่ายค้านเสียงน้อยอยู่แล้ว ถ้าเราอยู่ในพื้นฐานของการให้เกียรติ เราก็จะเดินต่อไปได้

เมื่อถามว่า นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์  ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาตำหนิว่า การอภิปรายนอกสภา เป็นการใช้พื้นที่แถลงข่าวที่ผิดระเบียบของสภา นายพิจารณ์ กล่าวว่า สิ่งที่พวกเราทำไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวาย หรือทำให้รัฐสภาเสียหาย และตนมองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราได้ใช้พื้นที่นี้เพื่อสื่อสารให้ประชาชนได้เข้าใจเนื้อหาที่พวกเราตั้งใจอภิปราย เพราะเราถูกจำกัดเรื่องเวลา และเสียโอกาสที่จะส่งข้อมูลเหล่านี้ไปถึงประชาชน ตนจึงคิดว่าเป็นสิ่งดีด้วยซ้ำที่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตย

ด้านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวถึงกรณีที่ไม่ได้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในสภา ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้รับคะแนนสนับสนุนสูงสุดในรัฐมนตรีทั้ง 6 คน ว่า ในการนำเสนอข้อมูล ตนต้องการชี้ให้เห็นว่าอะไรคือเบื้องลึกเบื้องหลัง ระบบกลไกที่ทำให้พล.อ.ประวิตร อยู่ได้ เพราะสังคมวันนี้ตั้งคำถามว่า พล.อ.ประวิตร อายุมากแล้ว ตัวท่านเองในการแถลงข่าวหลายๆ ครั้งก็พูดได้ว่าไม่ค่อยจะไหว แต่ก็ยังอยู่ต่อได้ และวันนี้ยังได้รับคะแนนสนับสนุนสูงสุด ตนในฐานะคนอภิปรายคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ คิดว่าถ้ามีโอกาสได้อภิปรายในสภา ไม่แน่ว่าเสียงที่พล.อ.ประวิตรอาจจะได้รับน้อยกว่านี้ก็ได้ ส่วนกังวลหรือไม่หากเกิดการฟ้องร้อง เพราะไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนเคยติดคุกมาแล้ว โดนอะไรมาสารพัด จึงเลยจุดของคำว่ากลัวไป และคิดว่าเรากินเงินเดือนประชาชน เดือนละ 1 แสนกว่าบาทเราต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าอะไรคือคุณค่าหรือสิ่งที่ต้องทำ เราพยายามทำให้กลไกของสภามีคุณค่าสูงที่สุด เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น หากจะฟ้องร้องก็เป็นสิทธ์ของท่าน แต่ก็เป็นสิทธิ์ของตนที่จะนำเสนอความจริง และหากพิสูจน์กันด้วยความจริง ตัวท่านเองอาจจะไม่อยากฟ้องตนก็ได้

สำหรับ นายชัยธวัช ตุลาธน รองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ คีย์แมนคนสำคัญของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ได้แจ้งว่าในวันที่ 4 มีนาคมนี้ ทางพรรคจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงขอบคุณ ส.ส.ฝ่ายค้านทั้งหมด

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันจำนวนส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่เหลืออยู่ 65 คน ซึ่งส.ส. 9 คน ได้ประกาศสมัครเข้าพรรคภูมิใจไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนอีก 1 คน คือนายสมัคร ป้องวงษ์ ส.ส.สมุทรสาคร คาดว่ากำลังจะย้ายไปสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา จึงทำให้ยอดสมาชิกส.ส.เหลืออยู่ 55 คน