เผยแพร่ |
---|
‘กพท.’ชง5มาตรการช่วยเหลือสายการบิน เสนอ’กบร.’พิจารณา เผยมี.ค.สายการบินยกเลิกมาไทย 9,797 เที่ยวบิน ผู้โดยสารหายราว 3 ล้านคน
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบิน พลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือเกี่ยวกับผลกระทบจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผลต่อสายการบินของไทย ร่วมกับตัวแทนจาก 20 สายการบินที่จดทะเบียนในไทย ว่า การหารือในครั้งนี้ ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับผลกระทบจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 เบื้องต้นสายการบินได้ยื่นข้อเสนอขอความช่วยเหลือ 5 มาตรการ โดย กพท.รับฟังและจะเป็นตัวแทนในการนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) วันที่ 6 มีนาคมนี้
สำหรับ 5 มาตรการ ประกอบไปด้วย 1.มาตรการลดค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน ค่าจอดอากาศยาน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าอำนวยวามสะดวกขึ้นลงอากาศยาน โดยขอปรับลดราคาลง 50% ถึงสิ้นปีนี้ 2.ขอให้ภาครัฐช่วยอำนวยความสะดวกในการปรับเปลี่ยนเที่ยวบินให้เร็วมากขึ้น จากเดิมต้องใช้เวลาพิจารณาและอนุมัติราว 2 สัปดาห์ เนื่องจากขณะนี้มีหลายสายการบินต้องการปรับตารางบินมาทำการบินเส้นทางในประเทศมากขึ้น
นายจุฬา กล่าวต่อว่า 3.ขอให้ภาครัฐช่วยสร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว และการเข้าออกประเทศ 4.ขอความช่วยเหลือจากภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยขอให้มีมาตรการปรับลดค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก (พีเอสซี) ลดลง 50% เพื่อกระตุ้นการเดินทาง จะส่งผลให้ภาระของผู้โดยสารลดลง เช่น สนามบินของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. จาก 100 บาท เหลือ 50 บาท เป็นต้น และ 5.ขอมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารรัฐบาล ตลอดจนขอให้ยืดระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยให้นาน เพื่อช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบด้วย
“มาตรการทั้งหมดนี้เราก็จะเสนอไปที่ กบร.เพื่อให้พิจารณา หากผ่านการเห็นชอบก็จะสั่งการและขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรารู้ว่าแต่ละสายการบินเอง เขามีแผนอยู่แล้ว แต่เราต้องช่วย เพื่อไม่ให้คนล้มหายตายจาก” นายจุฬากล่าว
นอกจากนี้ กพท.ตรวจสอบพบว่าในเดือน มีนาคมนี้ มีสายการบินที่ยกเลิกเที่ยวบินมาไทยแล้ว 9,797 เที่ยวบิน ส่งผลให้ผู้โดยสารหายไปราว 3 ล้านคน และคาดว่าสถานการณ์โรคระบาดจะคลี่คลายลงในเดือนเมษายนนี้ ส่วนสถานการณ์การท่องเที่ยวน่าจะเริ่มกลับมาปกติในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ เบื้องต้นกทพ.ประเมินว่าจะกระทบต่อปริมาณผู้โดยสารระหว่างประเทศปีนี้ลดลง ปิดตัวเลขอยู่ที่ 81 ล้านคน ลดลงราว 5 ล้านคน หรือ 8.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า