สุทิน อัด ‘บิ๊กตู่’ ทำ ปท.เหลื่อมล้ำ เสี่ยงเกิดวิกฤติ ศก. ลั่นแค่ยุบสภาฯไม่ใช่ทางออก ต้องลาออกท่านั้น

สุทิน อัด ‘บิ๊กตู่’ ทำ ปท.เหลื่อมล้ำ เสี่ยงเกิดวิกฤติ ศก. ลั่นแค่ยุบสภาฯไม่ใช่ทางออก ต้องลาออกท่านั้น

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เป็นวันที่ 2 ซึ่งวันนี้อยู่ในคิวซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมนั้น

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.หาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่า ขออภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยข้อกล่าวหาว่าท่านไม่สุจริตใจในการที่จะบริหารประเทศเอื้อพวกพ้อง  ไร้ความสามารถ ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ระดับความเสียหายอาจจะนำไปสู่วิกฤตครั้งใหญ่ของประเทศไทย และเชื่อได้ว่าท่านจะเป็นคนสร้างประวัติศาสตร์  ท่านกำลังจะทำลายความมั่นคงของประเทศ โดยไม่เจตนาหรือเจตนา และจะขอบอกว่าท่านกำลังสร้างประวัติศาสตร์ที่น่าสะพรึงกลัวให้กับประเทศ

ตนมั่นใจว่าเรากำลังเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ 5 เป็นพัฒนาการของโลกที่มีการต่อสู้แย้งชิงกันอย่างล้ำลึก วันนี้คือการตกต่ำถดถอยและเสื่อมที่สุดของเศรษฐกิจไทย ลามไปสู่สิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุด จนด้วยกันไม่เป็นไร รวยด้วยกันไม่เป็น แต่วิกฤตครั้งใหญ่คือความเหลื่อมล้ำ ถ้าเราปล่อยให้พัฒนากันไปแบบนี้ ซึ่งวันนี้ถึงขั้นสุด คนรวยไม่มีโอกาสจน คนจนก็ไม่มีโอกาสรวย รวยชนิดที่เรียกว่าทำอย่างไรถึงจะจนเป็น และคนจนวันนี้มองหาโอกาสรวยก็ไม่มี และวิกฤตครั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนทำ และสารตั้งต้นคือ นโยบายประชารัฐ

นายสุทิน กล่าวต่อว่า หลังจากที่ฟังนายกฯและรัฐมนตรี ซึ่งเป็นมือเศรษฐกิจทั้งนั้นพูดนั้น สิ่งที่ตนไม่ไว้วางใจมากกว่าเดิม ตนพูดหลายครั้งว่าการยอมรับความจริงเป็นการเริ่มต้นแก้ปัญหาที่ถูกต้อง คือการให้ความหวังประชาชน ท่านพูดเหมือนเศรษฐกิจยังดี มาถูกทางแล้ว ตนมีความรู้สึกว่าเราอยู่กันคนละประเทศหรือไม่ เพราะสิ่งที่รัฐมนตรีพูดไม่ใช่ประเทศไทย หรือถ้าเป็นประเทศไทยก็ต้องเป็นยุคปี 45-46 รัฐบาลไทยรักไทย แต่วันนี้ไม่ใช่ รัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจไทยยังดีและฐานะมั่นคง

แต่กลับลืมไปว่าการขยายตัวของจีดีพีไม่อาจนำไปเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้ เพราะเมื่อประเทศได้พัฒนาแล้วย่อมมีการขยายตัวเต็มที่ทำให้โอกาสการขยายตัวเพิ่มอีกมีน้อยมาก ดังนั้น ถ้าจะเทียบต้องเทียบกับรายได้ต่อหัวและนำเอาอัตราการว่างงานมาเปรียบเทียบด้วยเช่นกัน วันนี้หนี้สินครัวเรือนอาจขึ้นมาถึง 80%ต่อจีดีพี บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังไปไม่ได้

นายสุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมีการอ้างว่าปัญหาเศรษฐกิจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาสงครามการค้า ค่าเงินบาทแข็ง และไวรัสโคโรน่ารวมทั้งโควิด19 รัฐบาลพูดจริงบางส่วนแต่ปกปิดบางประการ เนื่องจากสาเหตุที่วันนี้การแก้ไขเศรษฐกิจทำได้ยากเพราะนายกฯมีปมด้อย เนื่องจากมาด้วยการยึดอำนาจ ทั่วโลกบอยคอต ยุโรปมีมาตรการลงโทษ จีดีพีของไทยคิดเป็นสัดส่วน 70 ต่อ 30 โดย 70%เป็นเม็ดเงินจากต่างประเทศ แต่เวลานี้เม็ดเงินส่วนนี้กำลังหายไป เพราะต่างประเทศชะลอการลงทุน

อีกทั้งไม่เชื่อมั่นในตัวนายกฯ ส่วนอีก 30%นั้นส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณของประเทศไทย แต่เวลานี้งบประมาณก็ยังไม่ประกาศออกมา มีการคิดว่าเลือกตั้งแล้วจะฟอกได้ แต่ปรากฎว่าโลกยังไม่ยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นในประเทศยังไม่เกิดนิติธรรม ทำให้ความเชื่อมั่นไม่เกิดตามมาโดยเฉพาะการปิดเหมืองทองอัครา เป็นปัญหาใหญ่วันนี้ คือ เศรษฐกิจตกต่ำและเกิดความประหลาด โดยชาวบ้านและประเทศจน แต่มีคนรวยที่รวยขึ้น ตนไม่ได้รังเกียจคนรวย แต่ต้องดูแลให้เขาสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศและช่วยคนจนด้วยโครงสร้างภาษี แต่วันนี้เป็นการรวยที่รวยขึ้นสวนทางกลับประเทศ นี่เป็นความเหลื่อมล้ำชัดเจน มีบริษัทใหญ่เพียง 5% แต่กลับครองรายได้ถึง 95% ต่างกับบริษัทเล็ก 95% ที่ครองรายได้เพียง 5% เป็นการแย่งเศษเนื้อข้างเขียง รัฐบาลที่ผ่านมาตัวเลขความเหลื่อมล้ำเป็นแบบนี้หรือไม่ มันผิดปกติที่รัฐบาลชุดนี้ วันนี้อยากฟังคำตอบจากรัฐบาลว่าทำไมถึงรวยมากขึ้นใน 5 ปี ถ้าเขารวยมาโดยสุจริตก็ชื่นชม แต่ถ้ายังตอบไม่ได้ ก็ต้องตำหนิเพราะไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้เลยถ้ายังไม่รู้ต้นเหตุของปัญหา

นายสุทิน กล่าวอีกว่า ประชารัฐเป็นแนวคิดที่ดีแต่พอทำจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นการทำ “เอกรัฐ” คือ เอกชนและรัฐเท่านั้น ไม่มีประชาชนเลย เปิดประตูให้เอกชนเข้ามานั่งบริหารประเทศ และกำหนดไปถึงรายละเอียดผ่านคณะทำงานขับเคลื่อนร่วมภาครัฐกับเอกชน เปิดให้เสือไปถึงห้องเนื้อสด ประชาชนไม่มีส่วนร่วมเลย เพราะติดขัดมาตรา 44 กลัวโดนปรับทัศนคติ บรรยากาศอย่างนั้นหรือที่จะสามารถสร้างประชารัฐได้

จึงเหลือแต่เอกชนกับรัฐบาลจนกลายเป็นเอกรัฐ กลุ่มทุนประชารัฐ 24 ทุนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในที่สุด เพื่อขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐ หรือบัตรคนจนได้งานและโครงการมากมายมหาศาล เป็นการให้คนจนถือเงินไปให้ทุนใหญ่ เป็นแค่ไม้เรียวตีช้าง วันนี้ไม่มีทางกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภคได้ เพราะประชาชนไม่มีเงิน ซึ่งปัญหามาจากการที่เศรษฐกิจฐานรากถูกทำลายและทอดทิ้งเกษตรกร ถ้านายทักษิณ ชินวัตร อยู่ก็จะไม่ทำแบบนี้

วันนี้ถือว่าท่านทำบาป เพราะเวลาชาวบ้านขี่รถไปซื้อของทีละ 300 บาทมันไม่คุ้ม ต้องควักเงินซื้อเพิ่ม เป็นการไปกระตุ้นความอยากของเขาอีก สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในวันข้างหน้า ทั้งนี้ ในสื่อต่างประเทศ มีการระบุว่าพล.อ.ประยุทธ์ เอื้อประโยชน์ให้เอกชน โดย 5 ตระกูลสนับสนุนบัลลังก์รัฐบาลประยุทธ์  ประกาศคำสั่งมาตรา44  5จีกลุ่มทรูรับไปเต็มๆ อีกทั้งรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิต ขึ้นภาษีเหล้า เบียร์ ไวน์ 100 เปอร์เซ็นต์ จากขวดละ 31 บาท เป็น 60  บาท โดยอ้างว่าเป็นมาตรการให้ประชาชนลดละเลิก ที่ผ่านมาต้มเหล้าได้ แต่ตอนนี้ตีกระจุย

ดังนั้น เอื้อ ไม่เอื้อ ลองอ่านในสื่อต่างประเทศดู นี่คือประชารัฐ ที่ทำเพื่อเครือข่ายประชารัฐ แบบนี้เอาเสือไปอยู่กับเนื้อหรือไม่ อีกรายหนึ่งคือดึงโรงงานน้ำตาลให้ไปทำงานกับรัฐ วันนี้จัดโซนนิ่งเรียบร้อย มีนโยบายรับซื้ออ้อยเผา ใครได้ประโยชน์ ไหนบอกว่าประชารัฐจะทำให้ประชาชนดีขึ้น ก่อนหน้านี้อ้อยตันละ 1000-1200 บาท แต่ตอนนี้เหลือตันละ 600 บาท นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบที่ตามมา คือ pm2.5 เพราะมีนโยบายรับซื้ออ้อยเผา เชื่อหรือไม่ พื้นที่ต่างจังหวัดที่มีฝุ่นละอองสูงสุด คือพื้นที่เดียวกันกับพื้นที่ปลูกอ้อย

นายสุทิน กล่าวอีกว่า เรื่องความเหลื่อมล้ำจะอยู่อีกนานหรือไม่ขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล คนมีเงินมากก็จะเป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก ถ้าปล่อยอย่างนี้จะตายกันหมด ใน 5ปีของนายกฯมีข้อสรุปชัดเจน ร้านค้ารายใหญ่ขยายสาขาครอบคลุมทุกชุมชน ใครมีอำนาจก็มีเงินและยึดตลาด วันนี้เศรษฐกิจชุมชนพังพินาศ ซึ่งทางแก้ไขยังพอมีอยู่โดยรัฐบาลต้องถามใจตัวเองว่ายังมีชาวบ้านอยู่หรือไม่หรือมีแต่กลุ่มทุน ถ้าหัวใจท่านแกร่งพอก็แก้ไขปัญหาได้ โดยใช้ระบบภาษีอัตราก้าวหน้าเพื่อเอามาเจือจุนคนจน ความเหลื่อมล้ำที่ตนว่ามาตนมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อคนไม่มีทางไปย่อมจะเกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นภูเขาเกลือ ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งคนในสังคมจะอยู่กันไม่ได้ ท่านรักความมั่นคงขนาดไหนก็ตามแต่มิติใหม่ในเรื่องความมั่นคงไม่ใช่เรื่องดินแดนอีกแล้ว แต่เป็นการแย่งชิงทรัพยากรเพื่อปากท้อง

“ชาวบ้านถามว่าจะปลดนายกฯได้หรือไม่ ตนบอกว่าอย่าตั้งความหวังขนาดนั้น แต่สำหรับตนมองข้ามไปแล้ว เพราะสนใจว่าประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไรมากกว่าภายใต้ความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นตนขอไม่ไว้วางใจให้นายกฯอยู่ในตำแหน่งต่อไป เพราะเห็นแล้วว่าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ เอื้อประโยชน์คนรวยไม่ช่วยคนจน ยิ่งให้อยู่ต่อไปอ้อยจะดึงจากปากช้างไม่ได้และเกิดวิกฤติสังคมทั้งประเทศไทย และการยุบสภาฯไม่ใช่ทางออก เพราะไม่ใช่ความผิดของสภาฯ จึงต้องลาออกเท่านั้น” นายสุทิน กล่าว