เปิดเวทีถอดบทเรียน “กราดยิงโคราช” ชี้ ปัญหาโครงสร้างสังคม’ทหาร’ สื่อตีซ้ำตามจริตสังคม

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ห้องประชุม ดร.เศาวนิต เศาณานนท์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้มีการจัดเวทีเสวนาเพื่อประชาชนโคราชเรื่อง “ถอดบทเรียน กราดยิงโคราช” ขึ้น โดยมี ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เป็นประธาน และมีนักธุรกิจ นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา รวมทั้งประชาชนทั่วไปร่วมฟังการเสวนากว่า 200 คน โดยเวทีเสวนาในครั้งนี้ มีวิทยากรร่วมเสวนา 4 คน ประกอบไปด้วย ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อาจารย์อังคณา พรมรักษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, รศ.ดร.ประยุทธ ไทยธานี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และ ดร.วิเชียร ก่อเกียรติกุศล จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนรราชสีมา เป็นผู้ดำเนินรายการ

สำหรับการเปิดเวทีเสวนาครั้งนี้ เกิดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นใน จ.นครราชสีมา เป็นเหตุการณ์รุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วประเทศเกิดความหวาดกลัว เสียขวัญกำลังใจ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดการสูญเสียผู้บริสุทธิ์ถึง 30 ชีวิต และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 58 ราย ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จึงได้เชิญนักวิชาการ ผู้มีความรู้ มาร่วมถอดบทเรียนในเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อหาแนวทางการป้องกันเหตุ หาสาเหตุ แรงจูงใจ หากเกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก ประเทศไทยควรจะมีการรับมือกับสถานการณ์อย่างไร รวมถึงแนวทางการเยียวยาแก่ผู้ประสบเหตุด้วย โดยจะนำบทเรียนที่เกิดขึ้นมาใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รู้จักการป้องกันตัวเอง และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว

ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวว่า กรณีคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงที่โคราชนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อนเลย ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จึงได้จัดงานเสวนาในครั้งนี้ขึ้น เพื่อถอดบทเรียนถึงมูลเหตุ หรือปัจจัยอื่นๆ รวมทั้งหลักจิตวิทยา ว่ามีอะไรที่ทำให้คนปกติคนหนึ่งสามารถก่อเหตุร้ายแรงได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งมูลเหตุเบื้องต้นเท่าที่เรารู้ขณะนี้ ก็คือความขัดข้องใจกับผู้บังคับบัญชา ที่มีการเอารัดเอาเปรียบหรือกดขี่ข่มเหงรังแกผู้ก่อเหตุ ซึ่งจะต้องมาพูดคุยหาแนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ นอกจากนี้ก็จะต้องหาวิธีป้องกันการเข้าไปโจรกรรมคลังอาวุธสงครามให้รัดกุมแน่นหนา รวมถึงหารือว่าเหตุใดหลังคนร้ายก่อเหตุแล้วหลายชั่วโมงจึงไม่สามารถระงับเหตุไม่ให้บานปลายได้ และปล่อยให้คนร้ายมาก่อเหตุรุนแรงเพิ่มอีกที่ห้างเทอร์มินอล21 โคราช นี่คือประเด็นหลักที่อยากให้สังคมถอดบทเรียนมาไว้สำหรับป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุรายนี้ เกิดความกดดันในชีวิตหลายทาง ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องที่ทำงาน และเรื่องความคับแค้นกับผู้ที่มากระทำ จึงทำให้เกิดความเครียดสะสมวันละเล็กน้อยและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนอารมณ์ระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรง และเมื่อความรุนแรงจุดติดก็เลยเถิดจากเหตุผลที่คนทั่วไปเข้าใจ เขามีความต้องการที่จะก่อเหตุให้รุนแรงที่สุด เมื่อเขาก่อเหตุยิง 2 ศพแรกแล้ว เขาเลือกที่จะก่อเหตุต่อและไลฟ์สดผ่านโซเชี่ยล เพื่อที่จะให้โลกหันมามองเขา ซึ่งก็ทำสำเร็จแล้ว เพราะมีการประโคมข่าวใหญ่โตไปทั่วโลก จนถึงขณะนี้เราก็ยังนำเรื่องราวที่เขาก่อเหตุมาพูดคุยกันอยู่เลย ซึ่งตนมองว่าเรื่องนี้เกิดจากปัญหาโครงสร้างทางสังคม โดยเฉพาะสังคมทหาร ที่มีอำนาจสั่งการเต็มที่ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา สังเกตได้จากร่องรอยที่ผู้ก่อเหตุโพสในโซเชี่ยลทั้งก่อนและขณะก่อเหตุ การแชร์ภาพความรุนแรงในโซเชียล รวมทั้งการใช้คำรุนแรงรายงานข่าวเช่น จ่าคลั่งปืนโหด และคำอื่นๆ บ่งบอกได้ว่าเรากำลังมีปัญหาโครงสร้างทางสังคมมาก ซึ่งผู้ก่อเหตุก็ติดตามโซเชี่ยลต่อเนื่อง จึงอยากถามว่าเราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นทำให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นปีศาจหรือไม่

อาจารย์อังคณา พรมรักษา อาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า สื่อมีการนำเสนอเหมือนละคร จะต้องมีดราม่าและเหตุการณ์ ชวนให้คนดูอยากติดตามดูอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เกิดการผลิตซ้ำภาพความรุนแรงตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีอะไรคืบหน้าแต่ก็ยังนำภาพมาผลิตซ้ำวนไปเรื่อยๆ จนทำให้คนดูเสพความรุนแรงเข้าไปต่อเนื่องอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งการผลิตซ้ำภาพความรุนแรงเหล่านั้น เป็นการละเมิดสิทธิของคนอื่น กรณีการทำหน้าที่ของสื่อนั้น ค่อนข้างมีปัญหา เพราะการทำงานของสื่อในปัจจุบันนั้น ทำตามจริตของสังคม โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในสังคม สังเกตได้ว่าสื่อที่นำเสนอภาพความรุนแรงซ้ำๆ ตามจริตของสังคม จะมีเรตติ้งสูงที่สุด ขณะที่สื่อที่รายงานในกรอบที่เหมาะสม ไม่เสนอภาพความรุนแรงเกินไป กลับมีเรตติ้งต่ำสุด ดังนั้นจึงขอถามไปยังองค์กรสื่อต่างๆ ว่า เราควรที่จะยืนอยู่จุดไหนกันแน่

รศ.ดร.ประยุทธ ไทยธานี อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ในต่างประเทศแค่คุยกันไม่รู้เรื่องก็จะพากันไปปรึกษาจิตแพทย์แล้ว แต่ในขณะที่ประเทศไทย เราละเลยเรื่องสุขภาพจิตมาก ต้องรอจนกว่าจะมีอาการคลุ้มคลั่งแล้ว จึงพาไปบำบัด เหตุการณ์ในครั้งนี้มีหลายปัจจัย ที่ทำให้คนๆ หนึ่งลุกขึ้นมาก่อเหตุร้ายแรงได้ถึงขนาดนี้ ปัจจัยส่วนตัวก็มีผลที่ทำให้เกิดความเครียด และเรื่องของโครงสร้างทางสังคม ที่ทำให้คนร้ายไม่สามารถหาทางออกได้ จึงต้องมาลงที่การก่อเหตุความรุนแรงขึ้น ซึ่งคนร้ายน่าจะมีการคิดไตร่ตรองไว้แล้วว่าจะต้องก่อเหตุร้ายแรงในครั้งนี้อย่างไร ทางออกในเรื่องนี้ต้องดูในหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องของบุคคล ที่จะต้องช่วยให้ผู้ที่กำลังมีปัญหาทางสังคม สามารถหาทางออกของปัญหาได้ จะต้องให้เขารู้ว่าเมื่อเกิดความเครียดกับปัญหาสังคมจะต้องดูแลตนเองอย่างไรในเบื้องต้น และถ้าดูแลตนเองไม่ได้แล้วจะต้องไปพึ่งพาใคร หรือไปพบผู้เชี่ยวชาญในด้านไหน ซึ่งตนคิดว่าในเรื่องของโครงสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม จะต้องมีการทบทวนกันใหม่ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์นี้ผู้ก่อเหตุเขาเห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างมาก จนไม่สามารถหาทางออกจากปัญหานี้ได้ โดยจะต้องทบทวนตั้งแต่ระดับบุคคลถึงโครงสร้างทางสังคมระดับชาติเลย ขณะเดียวกันสิ่งที่น่าเป็นห่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ก็คือห่วงสภาพจิตใจของผู้ที่ประสบเหตุ โดยเฉพาะผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ ซึ่งมีแม่ของเยาวชนผู้รอดชีวิตคนหนึ่งถามในวงเสวนาว่า ลูกของตนเองถูกเพื่อนๆ และคนรอบข้างเข้ามาถามถึงเหตุการณ์อยู่ทุกวัน ทำให้สภาพจิตใจไม่ดี ภาพเหตุการณ์หลอนเข้ามาในใจตลอด จนเกิดการหวาดผวา นอนละเมอ และกลัวการเข้าห้างอย่างที่สุด ซึ่งเรื่องแบบนี้แม้เราจะเป็นคนที่รับรู้ข่าวยังรู้สึกหวาดกลัว แล้วผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จะรู้สึกขนาดไหน ดังนั้นจึงขอร้องสังคมรอบข้าง เพื่อนๆ รวมทั้งญาติ พี่น้อง อย่าได้พยายามขุดคุ้ย หรือสอบถามเขาเลย และสังคมก็อย่าได้รีบเร่งชวนผู้ที่อยู่

นายไพบูลย์ พฤกษ์พนาเวศ นายกเทศมนตรีตำบลหนองไผ่ล้อม กล่าวว่า ตนเองเป็นหนึ่งในผู้ที่ผ่านไปพบเหตุการณ์ ซึ่งได้ยินเสียงปืนดังสนั่น จึงได้เลี้ยวรถไปจอดตรงข้ามห้างเทอร์มินอล21 โคราช พบว่ามีคนใช้อาวุธปืนยืงรถปาเจโร่ ก่อนที่คนร้ายจะวิ่งเข้าไปในห้างฯ ขณะนั้นสื่อต่างๆ ก็รายงานข่าวว่าคนร้ายเข้าไปในห้างฯ แล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ชั้นไหน ทำให้เจ้าหน้าทีทำงานลำบาก ซึ่งตนสอบถามเบื้องหลังจากเจ้าหน้าที่ทราบว่า เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปที่ห้องคอนโทรลกล้องวงจรปิด ชั้นใต้ดิน ซึ่งมีผนังบางๆ กั้นไว้กับโซน LG และพยายามใช้กล้องวงจรปิดนับพันตัวหลายชั่วโมง แต่ก็ไม่เจอคนร้าย กระทั่งตัดสินใจไล่ภาพตั้งแต่ตอนคนร้ายเข้ามาแต่ต้น จึงพบว่าคนร้ายได้เข้าไปที่ชั้น LG ตั้งแต่ 18.15 น. จึงรู้ว่าคนร้ายไม่ได้ออกไปชั้นอื่นเลย อยู่ที่ชั้น LG ตลอด จึงมั่นใจว่าชั้นอื่นปลอดภัย เจ้าหน้าที่จึงได้เริ่มลำเลียงช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ภายในห้างออกมาได้เกือบทั้งหมด เหลืออยู่เพียงชั้น LG เท่านั้น ซึ่งมีตัวประกันอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ปิดล้อม จนกระทั่งสามารถวิสามัญคนร้ายได้ในที่สุด