‘จตุพร’ จี้ ผบ.ทบ.หามาตรการป้องกันไม่เกิดเหตุซ้ำรอย มากกว่ามาร่ำไห้ออกสื่อ

“ประธาน นปช.” พร้อมคณะเข้าเยี่ยมแกนนำ นปช.ที่ต้องโทษคดีล้มการประชุมอาเซียน เผยทุกคนสุขภาพดี มี “พงษ์พิเชฐ” ที่ป่วย พร้อมจี้ ผบ.ทบ.หามาตรการป้องกันไม่เกิดเหตุซ้ำรอย มากกว่ามาร่ำไห้

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่เรือนจำพิเศษพัทยา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยนายยศวริศ ชูกล่อม นายสุริยา ชินพันธ์ แกนนำ นปช. นายอาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ ศิลปินนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และคณะ เข้าเยี่ยมแกนนำ นปช. ที่ต้องโทษคดีการเมืองจากคำพิพากษาศาลฎีกา กรณีร่วมกันชุมนุมและขัดขวางการประชุมอาเซียนซัมมิท ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เมื่อปี 2552 ประกอบด้วยนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส. สมุทรปราการพรรคเพื่อไทย (พท.) นายสำเริง ประจำเรือ นายสิงห์ทอง บัวชุม นายศักดา นพสิทธิ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ (พช.) และนายพงษ์พิเชฐ สุขจินดาทอง ส่วนนาย พายัพ ปั้นเกตุ ย้ายไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายจตุพรกล่าวภายหลังเข้าเยี่ยมว่า วันนี้มาให้กำลังใจหมู่มิตรพร้อมทั้งเล่าสถานการณ์ของบ้านเมืองเพื่อให้มีความหวังระหว่างกัน เพราะเวลาติดคุกจริงๆ คนที่ติดคุกร่วมด้วยคือ ครอบครัว ลูกเมีย พี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมา ดังนั้นต้องมาให้กำลังใจ และเป็นความหวังว่าอีกไม่นานจะได้รับอิสรภาพ ซึ่งตนและคณะก็ได้ผ่านจุดนี้มาแล้ว และจากการพูดคุยทั้งหมดก็สุขภาพดี ยกเว้นนายพงษ์พิเชฐ สุขจินดาทอง ที่เจ็บป่วยมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยทางเรือนจำได้ประสานไปยังสถานพยาบาลเพื่อไปรักษาตัวและคาดว่าอีกไม่นานจะได้ย้ายไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ต่อไป นายจตุพรกล่าวถึงเหตุการณ์กราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา จนมีผู้เสียชีวิต 30 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ว่า เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ สิ่งที่อธิบายกับสังคมไทยอย่างชัดเจนคือคนไทยต่างอยู่ในจุดที่มีความอดทนขั้นต่ำสุดและไม่พร้อมที่จะอดทนต่อเรื่องใด จากภายใต้สิ่งที่กดทับโดยเฉพาะความทุกข์ร้อนเรื่องเศรษฐกิจที่แสนสาหัส และเชื่อว่าไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์ที่คนคนหนึ่งจะมีความบ้าคลั่งลุกขึ้นมาฆ่าคนถึง 29 ศพ จนสุดท้ายผู้ก่อเหตุก็เสียชีวิตลงเป็นศพที่ 30 และบาดเจ็บอีก 58 คน ทั้งที่ความจริงแล้วมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพียง 3 คน ดังนั้น ส่วนตัวมองว่าจากเหตุการณ์เหล่านี้ที่มากกว่าจะมาประณามกันคือ การร่วมกันคิดหาทางออก ซึ่งล่าสุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงคลี่คลายและทรงแสดงความห่วงใย โดยส่งบรรดาองคมนตรีและบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ความอนุเคราะห์ทุกศพไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน ซึ่งได้สร้างความปลื้มปีติให้กับประชาชน อย่างน้อยที่สุดในความสูญเสียของทุกครอบครัว เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็ทรงพระเมตตาห่วงใย ส่วนการแสดงออกของบุคคลที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีที่แสดงออกในช่วงที่คนกำลังสูญเสีย หากมีอะไรไปกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยนั้นเป็นเสมือนเส้นด้ายบางๆ ที่พร้อมจะระเบิดกันได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงเป็นอุทาหรณ์ให้ได้คิดว่า วันนั้นหากนายกรัฐมนตรีปรับวิธีการเเสดงออก และให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์พูดในรายละเอียด และนายกรัฐมนตรีก็พูดเหมือนผู้นำทั้งโลกเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องกล่าวสุนทรพจน์ถึงความสูญเสีย ชวนคนไทยร่วมไว้อาลัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะทำให้บรรยากาศของบ้านเมืองเกิดความอบอุ่นขึ้นมากกว่านี้ นายจตุพรกล่าวด้วยว่า สำหรับความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นส่วนตัวมองว่าประเทศไทยไม่มีวัฒนธรรมในเชิงความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา เหมือนนานาประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำมากกว่าความรับผิดชอบคือการป้องกันและป้องปรามเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง หรือเหมือนไฟใหม้ฟาง ซึ่งล่าสุดตนได้ฟังผู้บัญชาการทหารบกแถลงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ต้องเข้าใจว่าทั้งหมดนั้นรากเหงาของปัญหามาจากความเหลื่อมล้ำ ระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชาลุกลามมาจนกระทั่งทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย ต้องบาดเจ็บและสูญเสีย ดังนั้น การไปรื้อและแก้ไขในสังคมทหารก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า จะเรียกวัวหายล้อมคอกก็ได้ แต่ต้องล้อมคอก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเดิมขึ้นอีก เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในกองทัพบก ผู้บัญชาการทหารบกต้องกล้าตรวจสอบ และต้องกล้าพูดว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดไม่ได้รับความยุติธรรมหรือหาความเป็นธรรมในหน่วยงานไม่ได้ ก็สามารถเข้าพบ ผู้บัญชาการทหารบกได้ตลอดเวลา มากกว่าการมาร่ำไห้ในวันนี้