รัฐสั่งโรงงานผลิตหน้ากากเพิ่ม รับมือโคโรน่าไวรัส-ฝุ่น PM 2.5 เตือนกักตุน-โก่งราคาคุก 7 ปี

วันที่ 27 มกราคม 2563 นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้ประสานไปยังโรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัยภายในประเทศ 10 แห่ง เพื่อให้ผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มเติม รองรับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ และสถานการณ์ฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5

ซึ่งในเบื้องต้นผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทั้ง 10 ราย เป็นรายใหญ่ 4-5 ราย พร้อมที่จะผลิตหน้ากากอนามัยให้เพียงต่อต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชน รวมทั้งจัดหาสถานที่จำหน่ายหน้ากากอนามัย เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อหน้ากากได้สะดวกมากขึ้น ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป

นายประโยชน์ กล่าวอีกว่า ส่วนราคาวัตถุดิบที่นำมาผลิตเป็นหน้ากากอนามัย ยังไม่ปรับตัวเพิ่ม แม้ว่าหน้ากากอนามัยจะขาดตลาด และยังไม่พบการร้องเรียนโก่งราคาหน้ากาก หรือกักตุนสินค้า ซึ่งราคายังทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน แต่กรมฯจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมร้านค้าที่ไม่เป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569 กรมฯจะเข้าไปดำเนินคดีหรือลงโทษตามกฎหมายต่อไป กรณีกักตุนสินค้าหรือจำหน่ายในราคาสูงเกินจริง ถือว่ามีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้หากพบว่าหลายพื้นที่ขาดแคลนหน้ากากอนามัย หรือประชาชนยังมีความต้องการใช้หน้ากากอนามัยเพิ่มเติม กรมฯจะประสานไปยังโรงงานผู้ผลิตและจัดหาพื้นที่จำหน่ายต่อไป

ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบจากการระบายของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ โดยคาดว่าจะได้ความชัดเจนในเร็วๆนี้ แต่จากการที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ออกแถลงการณ์โดยระบุว่าผู้ป่วยทั้งหมดได้รับเชื้อจากต่างประเทศ ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย และยืนยันสามารถควบคุมการแพร่ระบายของโรคเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวไทยเป็นอย่างมาก และมั่นใจได้ว่าจากมาตรการต่างๆของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณะสุข ที่คุมเข้มคัดกรองผู้ป่วยจะสามารถควบคุมการระบายของโรคได้

“คาดว่าจะไม่กระทบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมากนัก ภายในระยะเวลา 20 วันต่อจากนี้หากไม่พบผู้ป่วยเพิ่มเติม ก็ถือว่าภาครัฐสามารถควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี และจะเป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะในหลายประเทศขณะนี้ยังมีการระบาดแต่หากไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ก็เชื่อว่าไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว รวมถึงจะเป็นผลดีต่อโรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัยส่งออกของไทย หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและผลิตได้ตรงตามมาตรฐานก็จะเป็นโอกาสของผู้ส่งออกสินค้าได้เพิ่มขึ้น” นายกลินท์ กล่าว