คุรุสภาตั้ง กก.สืบข้อเท็จจริง ‘ผอ.กอล์ฟปล้นทอง’ จ่อถอนตั๋ว ‘ครู-ผู้บริหาร’

เมื่อวันที่ 22 มกราคม นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า กรณีเจ้าหน้าที่จับกุมนายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือกอล์ฟ ผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในคดีบุกยิงปืนชิงทองคำน้ำหนักกว่า 28 บาท เป็นเงินมูลค่า 6.8 แสนบาท ไปจากร้านทองออโรร่า สาขาห้างโรบินสัน จ.ลพบุรี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บสาหัส 4 ราย นั้น ในส่วนของคุรุสภา จะเกี่ยวข้องกับเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหาร โดยเบื้องต้นทางคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจโดยตรงได้มอบอำนาจให้เลขาธิการคุรุสภา ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง ซึ่งตนได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งไปแล้ว และได้มีหนังสือไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สิงห์บุรี และสถานีตำรวจภูธร (สภ.) เมืองลพบุรี เพื่อขอข้อมูลมาประกอบการพิจารณา รวมถึงรอผลการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ทั้งนี้ หากการสืบข้อเท็จจริงมีมูล กมว.จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง เพื่อนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทั้ง 2 ใบต่อไป

นางวัฒนาพรกล่าวต่อว่า ตามข้อบังคับคุรุสภา ระบุว่าเมื่อมีการเข้าสู่กระบวนการสอบสวนทางวินัย จะต้องสั่งพักใช้ใบอนุญาตฯ เป็นเวลา 60 วัน เพื่อไม่ให้ขัดขวางต่อกระบวนการสอบสวน ดังนั้นในกรณีนี้จะสั่งพักใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงก่อน คาดว่า กมว.จะสั่งตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงได้ใน 1-2 วันนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงที่คุรุสภากำลังทบทวนมาตรฐานวิชาชีพผู้บริหารพอดี ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า ต้องมีการพิจารณาเรื่องของการคัดกรองคนที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารสถานศึกษา โดยต้องคำนึงถึงวัยวุฒิ วุฒิภาวะ สภาวะทางจิตใจให้ถี่ถ้วนมากขึ้น เพราะผู้บริหารสถานศึกษาต้องดูแลครู ดูแลเด็ก ซึ่งต้องมีวุฒิภาวะ สภาวะจิตใจที่สูงเป็นพิเศษ ดังนั้น อาจจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้และคัดเลือกบุคลากรว่า อาจต้องทบทวนในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องประสบการณ์ ที่ปัจจุบันครูชำนาญการก็สามารถสอบเป็นผู้บริหารสถานศึกษาได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ หรือจะกลับไปใช้แนวทางเดิมที่เลื่อนตามลำดับขึ้นมา จากครูต้องผ่านรองผู้อำนวยการ ก่อนมาเป็นผู้อำนวยการ เพื่อให้ได้ผู้บริหารที่ดีมีวุฒิภาวะที่เหมาะสม

“กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารโรงเรียนก่อเหตุรุนแรง ตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่าเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน รู้สึกใจหาย ดิฉันก็เหมือนกับประชาชนทั่วไป ที่มองว่า คนที่ก่อเหตุแบบนี้ไม่น่าจะมาจากคนที่ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ดังนั้น พอได้ยิน ก็ตกใจและเกิดความกังวล ว่าจะมีผลกระทบอะไร แต่อีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพอะไร ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ทำสิ่งร้ายแรงได้ แต่ประเด็นคือเราต้องทำอย่างไรที่จะคัดกรองคนที่เข้าสู่วิชาชีพทางการศึกษาให้ถี่ถ้วนและรอบคอบมากขึ้น” นางวัฒนาพรกล่าว