ศรีสุวรรณ จี้รัฐใช้กฎหมายเข้มข้น สกัดเหตุวุ่นวาย ‘เดินเชียร์ลุง วิ่งไล่ลุง’

ศรีสุวรรณ จี้รัฐใช้กฎหมายเข้มข้น สกัดเหตุวุ่นวาย ‘เดินเชียร์ลุง วิ่งไล่ลุง’

เมื่อวันที่ 14 มกราคม นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ในอนาคตเชื่อว่าจะมีกิจกรรมวิ่งไล่ลุง และเดินเชียร์ลุงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการก่อหวอดความขัดแย้งในสังคมกลับมารอบใหม่ เหมือนสมัยเสื้อเหลือง เสื้อแดง ทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคม เป็นการเปิดประตูให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงด้วยการทำรัฐประหาร กลับไปสู่การยึดอำนาจยกเลิกรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่ในวังวนเดิมๆ ผู้มีอำนาจทางการทหารก็เข้ามาบริหาร ปัญหาของประเทศก็ไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งที่ทุกฝ่ายควรเดินหน้าเคารพกติกาแล้วใช้หลักการตามรัฐธรรมนูญในการต่อสู้ทางการเมือง มากกว่าการใช้วิธีการเป็นสงครามตัวแทนทั้งเดินเชียร์ลุงหรือวิ่งไล่ลุง

“สะท้อนให้เห็นว่าการใช้วาทกรรมของผู้ยึดอำนาจเมื่อ 5 ปีก่อน บอกว่าจะสร้างความปรองดอง ความสมานฉันท์ แต่เห็นภาพชัดเจนว่าเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทำให้กลุ่มคนทั้ง 2 ฝ่ายยืนกระต่ายขาเดียวไม่เคยจะคิดมาจับมือกัน ทำให้สังคมได้อยู่กันด้วยความยากลำบาก สุดท้ายก็ต้องอยู่กันด้วยความหวาดระแวง ไม่เป็นผลดีกับสังคมไทย ทั้งนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของประชาชนโดยตรง แต่เป็นปัญหาของนักการเมือง 2 ฝ่ายพยายามนำประชาชนมาหนุนหลัง เพื่อวัตถุประสงค์ที่แต่ละฝ่ายต้องการเท่านั้นเอง” นายศรีสุวรรณกล่าว

นายศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า สิ่งที่จะระงับกิจกรรมเหล่านี้ได้คือการใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวด ต้องไม่มี 2 มาตรฐาน เพราะการจัดกิจกรรมสามารถทำได้ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องบังคับไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ต้องเรียกผู้จัด หรือผู้ขออนุญาตจัดชุมนุมมาดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายเพื่อให้หลาบจำ ไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่เช่นนั้นทั้ง 2 กลุ่มจะย่ามใจ จัดต่อเนื่องทำให้เกิดความวุ่นวาย ที่สำคัญการจัดกิจกรรมทั้ง 2 กลุ่มยังบวกกับการใช้กระแสโซเชียลโจมตี การใช้เฟคนิวส์

“ดังนั้นการใช้กฎหมายเข้าไปกำกับต้องเข้มข้น อย่ามัวแต่รำมวยแล้วปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวาย กระทบไปทั้งระบบ เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้น นักการเมืองและผู้มีอำนาจอาจจะได้ประโยชน์ แต่ประชาชนทั่วไปจะสูญเสียประโยชน์ เสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ หากสังคมไม่สงบเกิดความขัดแย้งจะมากหรือน้อยก็กระทบถึงปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ซ้ำเติมสถานการณ์ข้าวยากหมากแพง นักลงทุนต่างชาติประเมินแล้วไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวการยึดอำนาจทำให้มีผลกระทบกับธุรกิจ” นายศรีสุวรรณกล่าว