เผยแพร่ |
---|
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวระหว่างไปร่วมประชุม Asian Financial Forum ครั้งที่13 ที่ฮ่องกง ว่า ประเทศไทยจะเร่งเดินหน้าปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความแข็งแกร่งรองรับความผันผวนจากภายนอก โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์การปฏิรูป คือ การปรับระบบนิเวศของโครงข่ายพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลักดันการลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ และให้ผลประโยชน์ของการพัฒนากระจายอย่างทั่วถึง
“ในปีนี้และปีหน้าประเทศไทยจะต่อยอดโครงข่ายพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยใช้บล็อกเชน ให้เป็นกระดูกสันหลังของการพัฒนา ซึ่งจะครอบคลุมหน่วยงานทางเศรษฐกิจและสังคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้อง”นายอุตตม กล่าว
นายอุตตม กล่าวต่อว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจากนี้ไปจะต้องถูกผลักดันโดยนวัตกรรม ซึ่งนวัตกรรม จะทำให้ไทยสามารถยกระดับเศรษฐกิจ และทำให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทย ได้พัฒนาโครงข่ายพื้นฐาน Digital เช่น การลงทุนในอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน การสร้างโครงข่ายการชำระเงินอีเพย์เมนต์ ทำให้ภาคเอกชนสามารถ ต่อยอดเข้ามาพัฒนาแอพริเครชั่นใหม่ๆในการให้บริการประชาชน
นายอุตตม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ไทยยังให้ความสำคัญในเรื่องการวิจัยและพัฒนา (R&D ) โดยได้สร้าง Inno Spaceให้เป็นที่บ่มเพาะในการสร้างนวัตกรรม และประเทศไทยยังได้ตั้งกระทรวงดิจิทัลและกระทรวงอุดมศึกษา เพื่อให้คนไทยมีชุดทักษะด้านดิจิทัล อีกด้วย ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานราก นั้น ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ผลปรโยชน์ของการพัฒนากระจายตัวอย่างทั่วถึงซึ่งรัฐบาลใช้ระบบอีเพย์เมนต์ เป็นเครื่องมือในการนำสวัสดิการของรัฐไปถึงมือคนที่สมควรได้บัตรสวัสดิการประชารัฐ รวมถึง การทำโครงการชิมช้อปใช้ที่อาศัยระบบอีเพย์เมนต์ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงนโยบายของรัฐ และทำให้ภาครัฐมีข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งต่อไปจะใช้ระบบบิ๊กดาต้า เพื่อประมวลข้อมูล และดูว่านโยบายอะไรที่จะสามารถตอบโจทย์ของประชาชนได้ดีที่สุด
ทั้งนี้ ระบบนิเวศด้านดิจิทัล ของประเทศไทย ได้ส่งเสริมให้เกิดฟินเทค โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ออกใบอนุญาตฟินเทคเป็นระบบการชำระเงินแล้ว 251ใบอนุญาต ส่วนในด้านสินเชื่อนั้น ระบบดิจิทัลทำให้คนตัวเล็กสามารถให้บริการสินเชื่อแข่งกับธนาคารพาณิชย์ได้มากขึ้นโดยในช่วงตั้งแต่ปี 2561-2562 จำนวนใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยไม่ว่าจะเป็นนาโนไฟแนนซ์ หรือ พิโกไฟแนนซ์เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าถึง 50%
นายอุตตมยัง กล่าวว่า ในการเดินทางมาฮ่องกงครั้งนี้ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อไทย โดยดได้หารือกับองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council – HKTDC)เกี่ยวกับความร่วมมือที่จะผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของฮ่องกงกับไทยได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อนำไปสู่การร่วมลงทุนระหว่างกัน โดยได้เห็นชอบที่จะจัดเวลาให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสองประเทศได้พบปะกันในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคมนี้
“ทางHKTDCต้องโปรโมทเอสเอ็มอีของเขา เราเองก็ต้องการโปรโมทเอสเอ็มอีของเราเช่นกัน จึงมีกำหนดจัดงานพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลในช่วงเวลาดังกล่าว โดยในส่วนของไทยจะมอบหมายให้เอ็กซิมแบงก์เป็นเจ้าภาพของงานและดึงแบงก์รัฐ สภาอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมด้วย อุตสาหกรรมที่เรามองว่ามีศักยภาพ คือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร ดีไซน์และการสร้างภาพยนต์ เป็นต้น” นายอุตตม กล่าว