ด่วน !ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี ‘เบญจา หลุยเจริญ’ ไม่รอลงอาญา คดีช่วยโอ๊ค-เอม เลี่ยงภาษีขายหุ้นชินฯ

เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 703 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลนัดอ่านฎีกา คดี ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย , น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย , นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 กรณีพวกจำเลย ได้ช่วยเหลือนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค และน.ส.พินทองทา ชินวัตร หรือเอม บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี เลี่ยงเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย ในการซื้อหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท

ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท โดยคดีนี้ จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขณะที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยที่ 1- 4 คนละ 3 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากร ตามป.อ.มาตรา 157 ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี ฐานเป็นผู้สนับสนุนฯ

ต่อมา จำเลยทั้งหมดยื่นฎีกาสู้คดี พร้อมขอให้พิจารณาลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญา โดยระหว่างฎีกาจำเลยทั้งหมด ได้ประกันตัวคนละ 5 แสนบาท

ซึ่งวันนี้ทั้งหมดเดินทางมาพร้อมฟังคำพิพากษาฎีกา โดยมีครอบครัวและญาติสนิท มาร่วมให้กำลังใจกว่า 30 คน โดยศาลฎีกาตรวจสำนวน และประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-4 ในการ ตอบข้อหารือประเมินภาษี การซื้อขายหุ้น ชินคอร์ปฯ ระหว่างแอมเพิลลิช กับนายพานทองแท้ และนส.พิณทองทา ให้กับจำเลยที่ 5 รับทราบนั้นแอบแฝงเจตนา ที่จะช่วยให้ นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ไม่ต้องแจ้งรายได้ที่เป็นส่วนต่างการซื้อขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่าทุน

ซึ่งมีมูลค่า 15,883,900,000 บาท ซึ่งแนวการตอบข้อหารือนั้นก็ไม่ตรงกับข้อหารือที่กรมสรรพากร เคยวินิจฉัยเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นบางประการไว้ อีกทั้งยังฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 5 มีหนังสือแจ้งถามข้อหารือมายังกรมสรรพากรก็เป็นการวางแผนที่เตรียมไว้ในการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปฯ ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ ที่ศาลฏีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยวินิจฉัยว่า เจ้าของหุ้นที่แท้จริง คือนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งจำเลยที่ 1-4 เป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ระดับสูง เคยวินิจฉัย ข้อกฎหมายต่าง ๆ มา และถือเป็นมันสมองของกรมสรรพากร

ขณะที่จำเลยที่ 5 ก็เคยทำงานเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีและตรวจสอบการประเมินภาษี จึงย่อมรู้ดีว่าการมีหนังสือถามข้อหารือดังกล่าว นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในการยื่นแบบรายได้ประเมินภาษีได้ และหากมีคดีความเกิดขึ้น ทั้งอาญาหรือแพ่งก็สามารถนำหนังสือตอบข้อหารือนี้ไปใช้อ้างเพื่อเป็นประโยชน์ได้ ขณะที่ข้อสงสัยในการประเมินภาษี ลักษณะดังกล่าวยังไม่เคยมีแนวคำวินิจฉัย

ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษว่ากระทำความผิดนั้น ศาลฏีกาเห็นพ้องด้วยในผลส่วนที่จำเลยทั้ง 5 ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญานั้น ศาลฏีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 5 คน ตามที่วินิจฉัยมาถือว่ามีพฤติการณ์ร้ายแรง จึงไม่สมควร ให้รอการลงโทษแต่เมื่อพิเคราะห์จากคำให้การของจำเลยที่ 1-4 แล้ว เห็นว่ายังมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง เห็นควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงเหลือ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก จำเลยที่ 1-4 คนละ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 คงจำคุกไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหลังศาลฎีกา พิพากษาให้ลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา ว่า จำเลยทั้งหมดมีสีหน้าเคร่งขรึม และเสียใจ โดยญาติได้รีบเข้าไปโอบกอดให้กำลังใจ จำเลยบางคนพยายามกลั้นน้ำตาและกล่าวขอบคุณเสียงเครือ ขณะที่จำเลยที่ 5 ที่มีอายุมากและมีอาการป่วย ญาติก็แสดงความกังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งได้มีการนำยารักษาโรคประจำตัวมาให้ด้วย ก่อนเตรียมส่งตัวเข้าเรือนจำ

ซึ่งในส่วนของจำเลยผู้ชาย จะถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนจำเลยผู้หญิงจะเข้าทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งนี้ ในส่วนของกลุ่มญาติก็ได้มีการพูดคุยกับจำเลย โดยแสดงห่วงใย พร้อมกับบอกว่าจะติดตามไปเยี่ยมถึงเรือนจำด้วย.