ชี้ 5 เมกะเทรนด์ส่อกระทบธุรกิจ | ธปท.ฟันธงมาตรการรัฐฟื้น | ศก.ทุ่ม 3.7 หมื่นล้านปั้นสนามบินภูธร

แฟ้มข่าว

ชี้ 5 เมกะเทรนด์ส่อกระทบธุรกิจ

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวต่อสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ว่า คงไม่สามารถคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าหรือปี 2568 ได้ แต่แนวโน้มสําคัญที่จะเกิดขึ้นในอีก 5 ปี ที่จะเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และอาจส่งผลกระทบกับโมเดลธุรกิจปัจจุบันและการดำเนินธุรกิจอนาคตซึ่งภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับ มี 5 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่มูลค่า การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิตอล และสถานการณ์สภาพคล่องส่วนเกินทั่วโลก สำหรับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร แนวโน้มการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะมีผลกระทบต่อกำลังแรงงาน รวมทั้งการบริโภคที่ลดลง ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า คนมีแนวโน้มบริโภคน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น คนอายุ 50 ปีขึ้นไปจะบริโภคลดลง 20% ซึ่งปัจจุบันประชากรไทยอายุเกิน 50 ปี ประมาณ 18% ของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ก็เป็นโอกาสการพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์รองรับผู้สูงอายุหรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ทุ่ม 3.7 หมื่นล้านปั้นสนามบินภูธร

นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมท่าอากาศยาน (ทย.) มีแผนพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคระยะ 10 ปี เริ่มปี 2560-2569 วงเงิน 3.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งต้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผน โดยปีงบประมาณ 2563 ทย.ได้รับจัดสรรงบฯ 6 พันล้านบาท มีโครงการหลักๆ ใน 4 ท่าอากาศยาน คือ ท่าอากาศยานกระบี่ โครงการก่อสร้างทางขับขนาน (แท็กซี่เวย์) ระยะทาง 3 กิโลเมตร (ก.ม.) วงเงิน 1.35 พันล้านบาท ท่าอากาศยานนราธิวาส โครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสาร (เทอร์มินอล) หลังใหม่ วงเงิน 800 ล้านบาท ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ โครงการก่อสร้างเทอร์มินอลหลังใหม่ วงเงิน 775 ล้านบาท และท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี ได้แก่ โครงการปรับปรุงขยายห้องผู้โดยสารขาออก และติดตั้งสะพานเทียบเครื่องบิน พร้อมระบบนำจอด วงเงิน 200 ล้านบาท และโครงการขยายลานจอดเครื่องบิน วงเงิน 500 ล้านบาท โดยได้สั่งการให้ ทย.จัดเตรียมรายละเอียดการจัดซื้อจัดจ้างให้พร้อม เมื่องบฯ ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ก็ให้เปิดประมูลทันที

ททท.เร่งรับมือสังคมสูงวัย

นายคมกริช ด้วงเงิน ผู้อำนวยการกองสร้างสรรค์สินค้าการท่องเที่ยว ฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้นำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล จำนวน 5 เส้นทางใหม่ในแต่ละภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ราชบุรี พังงา ชลบุรี (พัทยา) และเลย ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีลักษณะทางกายภาพที่ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวปกติ อาทิ มนุษย์ล้อ เด็ก และผู้สูงอายุ เพื่อให้กลุ่มคนดังกล่าวสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้เหมือนบุคคลทั่วไป เนื่องจากขณะนี้ไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้กลุ่มผู้สูงอายุจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับในการเดินทาง เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยเป็นการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในอีกหนึ่งรูปแบบ ที่จะทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย ปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนในหลายด้าน โดยเฉพาะสิ่งอำนวยความสะดวกในการรองรับผู้พิการ ซึ่งขณะนี้หน่วยงานต่างๆ เริ่มเห็นความสำคัญและให้ความสำคัญกับกลุ่มคนเหล่านี้มากขึ้น เพราะในสถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารต่างๆ ก็เริ่มมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับผู้พิการเพิ่มมากขึ้น

ธปท.ฟันธงมาตรการรัฐฟื้น ศก.

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.คาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4/2562 จะขยายตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 3/2562 เนื่องจากภาพรวมการส่งออกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นแม้ว่าจะยังติดลบอยู่ และแม้ว่ามูลค่าการส่งออกเดือนตุลาคม 2562 ที่ออกมาจะยังติดลบ 5.0% จากภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวจากสงครามการค้าสหรัฐและจีน (เทรดวอร์) และปัจจัยชั่วคราวจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันที่ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าในหมวดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมติดลบ ทั้งนี้ ทิศทางการส่งออกไทยที่ปรับดีขึ้นจากแนวโน้มการส่งออกทั่วโลก เริ่มทรงตัวและไม่ได้ไถลลงต่อ คาดว่าตัวเลขการส่งออกเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมที่ปีก่อนหน้าติดลบ 0.5% และติดลบ 1.2% ในปีนี้ 2 เดือนสุดท้ายน่าจะปรับดีขึ้น โดยแนวโน้มการส่งออกในระยะต่อไป ต้องติดตามปัจจัยสำคัญ คือ การเจรจาสงครามการค้าสหรัฐและจีนในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้หากสามารถบรรลุข้อตกลงได้น่าจะส่งผลดีต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทยด้วย

กฟผ.ชงปรับสูตรก๊าซกดค่าไฟ

นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ได้เสนอสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ปรับสูตรการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสมใหม่ รองรับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี ที่ภาครัฐให้ กฟผ.ทดสอบนำเข้า โดยขอให้เป็นสูตรราคาเฉลี่ยใหม่ (พูล) เพื่อให้ต้นทุนไม่กระทบค่าไฟฟ้า และยังทำให้ต้นทุนแข่งขันได้ โดยพูลใหม่เสนอเป็นราคาแอลเอ็นจีที่ กฟผ.นำเข้าทดแทนราคาแอลเอ็นจีที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำเข้า โดยราคาทั้งพูลใหม่และพูลเดิม ยังนำราคานำเข้าจากเมียนมาและราคาก๊าซจากอ่าวไทยมาหารเฉลี่ยเช่นเดิม โดย กฟผ.จะรายงานผลการเปิดประมูลการจัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี ในรูปแบบตลาดจร ให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันที่ 4 ธันวาคม รับทราบแล้วนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 16 ธันวาคมนี้ พิจารณาอนุมัตินำเข้าตามแผนการดำเนินงานต่อไป ซึ่งการประมูลแอลเอ็นจีราคาตลาดจร (สปอร์ต) ที่จะนำเข้าเดือนธันวาคมนี้ จะเป็นราคาที่บริษัท ปิโตรนาส แอลเอ็นจีมาเลเซีย เป็นผู้ชนะการประมูล ซึ่งราคาถูกมาก ต่ำกว่า 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ต่ำกว่าการประมูลสัญญาระยะยาว 1.5 ล้านตัน รอบที่ผ่านมาที่ปิโตรนาสชนะเช่นกัน ราคาประมาณ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู

ซึ่งล่าสุด กฟผ.ได้แจ้งต่อปิโตรนาสชะลอการนำเข้าในการประมูลสัญญาระยะยาวไปก่อน