สำนักข่าวรอยเตอร์สเปิดเผยผลการสำรวจความเห็นจากนักวิเคราะห์ค่าเงินต่อทิศทางตลาดค่าเงินในอนาคต พบว่า นักวิเคราะห์ค่าเงินส่วนใหญ่เห็นว่าค่าเงินสกุลหลัก ๆ ของโลก ยังจะคง “เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ” จนถึงต้นปี 2020 โดยไร้ปัจจัยบวก เนื่องจากความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยของการเจรจายุติสงครามการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

โดยส่วนใหญ่เห็นว่า “ดอลลาร์สหรัฐ” ยังเป็นสกุลเงินที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับมากกว่าสกุลเงินอื่น ๆ

“เจน โฟเลย์” หัวหน้าฝ่ายกลยุทธตลาดค่าเงิน ธนาคารเรโบ (Rabo Bank) กล่าวว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีพื้นฐานรองรับที่แข็งแกร่งกว่าเงินสกุลหลักอื่น ๆ ของโลก เนื่องจากความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนตลาดพันธบัตรในสหรัฐยังสูงกว่าผลตอบแทนของประเทศอื่น ๆ เช่น เยอรมนี หรือ ยูโรโซน

ขณะที่ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (3 ธ.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า การเซ็นสัญญาสงครามการค้า “เฟสแรก” อาจถูกเลื่อนไปเป็นหลังการเลือกตั้งประธานธิบดีในปี 2020 ซึ่งสร้างความวิตกกังวลทั่วโลกและส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงทันทีจากสถานการณ์ไม่แน่นอนดังกล่าว อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

“ทิม ริดเดล” นักวิเคราะห์กลยุทธด้านเศรษฐกิจมมหภาคของ เวสแพค (Westpac) มองว่า ตลาดค่าเงินเริ่มคุ้นชินกับคำพูดซึ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ของ “ทรัมป์” อย่างไรก็ตามยังคงคาดว่า ตลาดค่าเงินอาจได้รับผลกระทบหากเจ้าหน้าที่เจรจาของทั้งสองฝ่ายยืนยันเองว่าจะไม่สามารถบรรลุการเจรจา นอกจากนี้ นักค้าเงินยังมองด้วยว่า ข้อตกลงการค้า “เฟสสอง” เป็นเรื่องที่ตกลงกันยากและคงไม่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งสหรัฐในเดือน พ.ย. 2020 ดังนั้นคำพูดของ “ทรัมป์” จึงส่งผลกระทบไม่มาก

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จากการสำรวจของรอยเตอร์สคาดการณ์ว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังสามารถรับแรงกัดดันจากปัจจัยลบต่าง ๆ ได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่มีปัจจัยใด ๆ ที่จะทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเช่นกัน โดยปัจจัยที่จะส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ ทิศทางเศรษฐกิจภายในประเทศของสหรัฐ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ของโลก

เมื่อปี 2018 ดอลลาร์สหรัฐเพิ่มมูลค่าขึ้น 4% ขณะที่ปี 2019 แข็งค่าขึ้นน้อยกว่า 2% เท่านั้น โดยดอลลาร์สหรัฐคงไม่แข็งค่าไปมากกว่านี้ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกสนับสนุน รวมถึงตลาดได้รับรู้ข่าวดีของการเจรจาสงครามการค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว