ศาลฎีกายืนจำคุก’วรชัย-สำเริง’4ปีล้ม ประชุมอาเซียนพัทยา ให้ออกหมายจับ’ไวพจน์’อ้างเอกสิทธิ์ส.ส.

ศาลฎีกายืนจำคุก’วรชัย-สำเริง’4ปีล้ม ประชุมอาเซียนพัทยา ให้ออกหมายจับ’ไวพจน์’อ้างเอกสิทธิ์ส.ส.แล้วให้ฟังคำตัดสิน 15 ม.ค.63

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ศาลจังหวัดพัทยานัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3537/2552 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.8488/2552 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยาโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, นายสำเริง ประจำเรือ, นายนพพร นามเชียงใต้, นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, นายสมญศฆ์ พรมมา, นายสิงห์ทอง บัวชุม, นายธนกฤต หรือวันชนะ ชะเอมน้อย หรือเกิดดี ,นายวรชัย เหมะ, นายพายัพ ปั้นเกตุ, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายศักดา นพสิทธิ์, นายวัลลภ ยังตรง, นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ กลุ่มเเกนนำ นปช.เป็นจำเลยที่ 1-15 โดยคดีนี้ได้การพิจารณาคดีในส่วนของนายสุรชัยและ พ.ต.ต.เสงี่ยม เนื่องจากหลบหนี จึงเหลือจำเลย 13 คน ในคดีแกนนำ นปช. นำพากลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552

คดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตัดสินจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุกนายอริสมันต์กับพวก 12 คนเป็นเวลา 4 ปี ไม่รอลงอาญาเช่นกัน

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมาที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนลงโทษจำคุกนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กับพวกอีก 12 คน ไปเเล้ว4 ปีเเต่ปรากฎว่าในวันดังกล่าวมีเพียง นายศักดา นพสิทธิ์ เลขาธิการพรรคเพื่อชาติ เพียงคนเดียวที่มาฟังการตัดสินของศาลฎีกาเเละให้ยกฟ้อง นายสมยศ พรหมมา เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นเพียงผู้ร่วมชุมนุม ไม่ใช่แกนนำ เเต่ในวันดังกล่าวยังมีจำเลย 3 คน ยังไม่ได้รับหมายเรียก คือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ,นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ ศาลจึงได้ออกหมายเรียก ให้มารับฟังคำพิพากษาอีกครั้ง ในวันที่ 31 ต.ค. เเละให้ออกหมายจับจำเลยที่หลบหนีไม่ได้เดินทางมาศาล

ซึ่งต่อมาในวันที่ 31 ต.ค. พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ,นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ จำเลยทั้ง 3 เดินทางมาศาลเเละได้ ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การปฏิเสธและขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพและยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพทั้ง 3 คน ศาลพิจารณาและมีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง จึงให้เลื่อนไปนัดอ่านคำพิพากษาให้ จำเลยทั้ง 3 อีกครั้งในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ตามที่คู่ความมีวันว่างตรงกัน

โดยการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้ ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 3ทนายจำเลยที่ 3 พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ,นายสำเริง ประจำเรือ จำเลยที่ 6 และนายวรชัย เหมะ จำเลยที่ 13 มาศาล

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วมีคำสั่งว่า ประเด็นที่ 1 คือ จำเลยที่ 3, จำเลยที่6 และจำเลยที่ 13 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเดิมจากปฎิเสธเป็นรับสารภาพนั้น ศาลฎีกาเห็นเเละมีคำสั่งว่าการแก้ไขหรือเพิ่มเติมคำให้การต้องกระทำก่อนศาลพิพากษา การที่จำเลยมายื่นในชั้นฎีกาเป็นการต้องห้าม ยกคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา163 วรรค2

ประเด็นที่ 2 คือ วันนี้ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 3 ทนายจำเลยที่ 3, จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13 ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยจำเลยที่ 3 ให้เหตุผลว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ระหว่างการประชุมพรรค

ศาลฎีกามีคำสั่งว่า แม้จำเลยที่ 3 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่คดีนี้เสร็จการพิจารณาเสร็จแล้วไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 125 ประกอบกับการขอเลื่อนคดีมีลักษณะเป็นการประวิงคดีจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาของจำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13

จึงมีพิพากษายืนจำคุกจำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13 จำคุกคนละ 4 ปี ปรับคนละ 200 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ให้เลื่อนฟังคำพิพากษาไปอ่านวันที่ 15 ม.ค. 2563 เวลา 09.00 น. และให้ออกหมายจับจำเลยที่ 3 และปรับนายประกันจำเลยที่ 3 เต็มตามสัญญาประกัน