ไม่รอดคุก! “จตุพร” ลั่น นปช.รับชะตากรรม หลังศาลไม่รับคำร้องรับสารภาพ ออกหมายจับ “ไวพจน์”

ประธาน นปช. ลั่น นปช.น้อมรับชะตากรรม คดีล้มประชุมอาเซียนพัทยายุติแล้ว ทั้งนี้ศาลพัทยาออกหมายจับ พตท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ โดยไม่ฟังคำอ้างเหตุติดประชุมสภาฯ ส่วนจำเลยอีก 2 คน วรชัย เหมะ และ สำเริง ประจำเรือ จำคุก 4 ปีทันที หลังจากเมื่อ 31 ตค.จำเลยทั้งสาม ยื่นคำร้องขอกลับคำให้การ รับสารภาพ ศาลจึงได้นัดฟังคำสั่งในวันนี้

วันที่ 3 ธันวาคม 2562 ที่ศาลจังหวัดพัทยา ศาลฎีกานัดฟังคำสั่งศาลฎีกา กรณีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ศาลได้นัดอ่านคำ พิพากษาครั้งที่ 2 สำหรับจำเลยที่ไม่ได้รับหมายเรียกมาฟังคำพิพากษาครั้งแรก 3 คน ประกอบด้วย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ,นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย ในคดีล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 9-12 เม.ย. ปี 2552 จัดขึ้นที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจำเลยทั้ง3 ได้ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนคำให้การ เป็นรับสารภาพ ศาลจึงนัดมาฟังคำสั่งว่าจะรับคำร้องหรือไม่ในวันนี้ ทั้งนี้ ศาลได้นัดเวลา 10.00 น.แต่ก็ได้มีการเลื่อนไปอ่านช่วงบ่าย

โดยคดีนี้ ศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลย 12 คน โดยสั่งจำคุก 4 ปีไม่รอลงอาญา ซึ่งก่อนหน้านี้ มีจำเลย 5 คนมาฟังคำพิพากษาและถูกนำตัวเข้าเรือนจำพิเศษแล้ว 5 คน ประกอบด้วย นายศักดา นพสิทธิ์ ,นายสิงห์ทอง บัวชุม, นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง ,นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายนพพร นามเชียงใต้ โดยวันนี้ (3ธค.) พ.ต.ท.ไวพจน์ ไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาล ส่งทนายมาขอเลื่อน ส่วน นายวรชัย และนายสำเริง เดินทางมาศาล พร้อมครอบครัว

ขณะที่จำเลยอีก 4 คนที่ยังไม่มาฟังคำพิพากษาทำให้ศาลออกหมายจับ คือ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายธนกฤต ชะเอมน้อย หรือ วันชนะ เกิดดี, นพ.วัลลภ ยังตรง และนายนิสิต สินธุไพร

นายสำเริง ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำสั่งศาลว่า ตนเตรียมใจมาแล้ว ตั้งแต่นัดแรก ที่ตนไม่ได้รับหมายเรียก แล้วศาลอ่านคำพิพากษาลับหลัง แต่ทั้งนี้เมื่อตนยังไม่ได้รับหมายเรียกในวันดังกล่าว จึงยังสามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนคำให้การ ทั้งนี้ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ตนพร้อมที่จะเดินเข้าไป ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เป็นความภาคภูมิใจในฐานะ นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างไรก็ตาม ตนต้องการให้คดีตนเป็นคดีตัวอย่าง เป็นบรรทัดฐานให้กับทุกคดีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นคดีของฝ่ายใด

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.พร้อมคณะ ก็ได้เดินทางมาให้กำลังใจด้วย ได้เปิดเผยภายหลังศาลอ่านคำสั่งว่า ถือว่าคดีนี้เป็นที่ยุติแล้ว แม้จะเหลืออีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้มาฟังคำพิพากษา แต่ผลก็ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้ว หลังจากนี้คงจะมีพี่น้องที่เหลือที่ยังไม่เข้ารับโทษ ทยอยกันมาจนครบ ผลในวันนี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้อย่างครบถ้วนแล้ว ว่าเหมือนคำพิพากษาที่ได้อ่านไปครั้งแรก ทุกประการ พวกเราน้อมรับชะตากรรม น้อมรับคำพิพากษาของศาล ทั้งนี้ระหว่างรอคดีเข้าศาลฎีกา ก็ได้ติดคุกมาบ้างแล้ว ประมาณคนละ 5 เดือนเศษ จะเหลือติดคนละประมาณ 3 ปีเศษ

ขณะที่ นายณัฐพล ปัญญาสูง ทนายความ กล่าวว่า ศาลยกคำร้องที่ขอถอนคำให้การรับสารภาพ โดยให้เหตุผลว่า การยื่นแก้ไขคำให้การเดิมต้องยื่นก่อนศาลชั้นต้นตัดสิน ศาลฎีการะบุว่าไม่มีเหตุให้รับคำร้อง รวมถึงยกคำร้องประกอบคำแถลงรับสารภาพด้วย เนื่องจากยกคำร้องขอถอนคำให้การไปแล้ว จึงยกคำร้องประกอบคำแถลงด้วย อีกทั้งยกคำร้องขอเลื่อนการฟังคำสั่งศาล ของพ.ต.ท.ไวพจน์ โดยระบุว่า ไม่มีเหตุ แม้เปิดสมัยประชุม แต่ไม่ใช่ข้อในการพิจารณาคดี เป็นการฟังคำสั่ง ศาลจึงยกคำร้องเลื่อนฟังคดี และอ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่มาทั้ง 2 ฟัง โดยโทษเหมือนเดิมคือ จำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วน พ.ต.ท.ไวพจน์ ศาลได้ออกหมายจับ ให้มาฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 มกราคม 2563