จากกรณีการเสนอข่าวว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวมาเลเซียออกมาเตือนภัยการใช้ครีมและเครื่องสำอางเถื่อนที่ไม่ได้คุณภาพ มีการโพสต์ภาพใบหน้าผู้หญิง 2 ราย รายหนึ่งผิวกลายเป็นรอยแดงทั่วหน้า อีกรายมีใบหน้าที่สยดสยองกว่ามาก ทั้งใบหน้าบวมพองจนผิวหนังลอก และมีการแชร์ภาพครีมและเครื่องสำอางเถื่อน รวมถึงวิธีการผลิตครีมกวนเองด้วยกรรมวิธีที่ไม่ถูกสุขลักษณะ และไม่ทราบว่าส่วนผสมของครีมมีอะไรบ้างนั้น

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า กระแสความนิยมสำหรับผู้หญิงรวมถึงผู้ชาย การดูแลตัวเองและความสวยงามเป็นที่นิยมมากขึ้น ตลอดจนกระแสการขายเครื่องสำอางทั้งขายตรงและเครื่องสำอางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น มีผู้เข้าสู่ตลาดนี้ได้ง่ายและมากขึ้น ทำให้มีการลักลอบใช้สารปรอท หรือ สารไฮโดรควิโนน ในเครื่องสำอางเพื่อรักษาฝ้า จุดด่างดำ นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง ทั้งนี้ สารปรอท หรือสารไฮโดรควิโนนเคยเป็นสารอันตรายอันดับ 1 ของเครื่องสำอางที่ใช้ในไทยมาก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐได้เข้มงวดมากขึ้น ครีมเหล่านี้จึงได้ลดความนิยมลงและเป็นที่รู้จักในวงแคบหรือในตลาดใต้ดิน

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากการศึกษาของสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ซึ่งตรวจสารอันตรายในเครื่องสำอางจากที่ผู้ป่วยส่งตรวจและจากที่ได้จากการซื้อขายผ่านตลาดนัดและตลาดออนไลน์ระหว่างปี 2561-2562 จำนวน 420 ตัวอย่าง พบว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ส่วนใหญ่จะเรียกว่า “ครีมหน้าขาว” มีสารอันตรายถึงร้อยละ 25 คือ ในทุก 4 ตลับ จะพบสารอันตราย 1 ตลับ โดยสารปรอทเป็นสารอันตรายที่พบบ่อยที่สุด รองลงมาคือ สารไฮโดรควิโนน และกรดวิตามินเอ

“สารอันตรายที่พบในเครื่องสำอางนั้นสามารถทำให้เกิดผลเสียทั้งต่อผิวหนังเอง เช่น ก่อให้เกิดการระคายเคือง แสบ แดง แห้ง ลอก หรือกรณีที่มีการแพ้ร่วมกับมีผิวหนังอักเสบมาก อาจมีน้ำเหลืองซึมแฉะ หรือมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ นอกจากนี้ สารบางชนิด เช่น ไฮโดรควิโนน อาจก่อให้เกิดรอยดำถาวรที่ใบหน้าตามมาได้ถ้ามีการสะสมของสารผิดปกติที่ผิวหนัง สำหรับอีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ นอกจากปัญหาทางผิวหนังที่เกิดขึ้นแล้ว สารบางชนิด เช่น สารปรอท อาจก่อให้เกิดพิษต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ระบบประสาท ตับ ไต ระบบเลือด รวมถึงก่อให้เกิดปัญหากับทารกในครรภ์ได้อีกด้วย จึงขอให้พึงระวังในการใช้เครื่องสำอางจากแหล่งที่เชื่อถือได้มากที่สุด หากผู้บริโภคคนใดไม่มั่นใจในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย อย.รับรอง” นพ.สมศักดิ์ กล่าว