“วันนอร์” ชี้ทุกชาติพันธุ์ต้องเรียนรู้อยู่ร่วมกัน ด้วยรักและเข้าใจ

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เปิดการสัมมนาและกล่าวปาฐกถานำในการสัมมนา เรื่อง ‘การเมืองระบอบประชาธิปไตยกับสังคมพหุวัฒนธรรม’ เมื่อวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ณ Convention Hall โรงแรม วินทรี ซิตี้ รีสอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้นปีะมาณ 500 คนและได้กล่าวว่า การจัดสัมมนา ข้างต้น เป็นกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและจัดขึ้นร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและกิจกรรมลักษณะนี้ได้มีการจัดขึ้นมาแล้ว รวม 2 ครั้ง ส่วนหัวข้อการเสวนาแต่ครั้งก็เป็นไปตามความต้องการของพื้นที่และส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับประเด็น หรือ เรื่องที่ยังมิได้รับการแก้ไข เช่น ในภาคอีสานซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่นและเป็นการจัดครั้งที่หนึ่ง ก็ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำ ส่วนที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นการจัดครั้งที่สอง ก็จะให้ความสำคัญกับปัญหาการประมง ปัญหาราคายางพาราที่ตกต่ำ เป็นต้น ส่วนในภาคเหนือก็จะให้ความสำคัญกับ ‘พหุวัฒนธรรม’ เพราะภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายของเผ่าพันธุ์และการดำรงอยู่ของสังคมที่มีความซับซ้อนและมีประวัติมายาวนาน นอกจากนี้ ยังมีลัทธิ ความเชื่อและการนับถือศาสนา มีสังคมที่ช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อกัน ฯลฯ อีกทั้ง การอยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะการดำรงความเป็นชาติ หรือ การสร้างชาติต้องใช้เวลาและต้องมีความอดทนสูง เพราะการสร้างความรักและเข้าใจซึ่งกันและกันแบบถ่องแท้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากและไม่มีชาติใดในโลกที่มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียว ดังนั้น ความหลากหลายของเผ่าพันธุ์ในชาติใดชาติหนึ่งจึงถือเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ

นายวันมูหะมัดนอร์ ยังกล่าวด้วยว่า พรรคประชาชาติได้ก่อตั้งและครบ 1 ปีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 และผ่านการเลือกตั้งมาเพียงครั้งเดียว อีกทั้ง ถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จ เพราะได้มีการประเมินผลการเลือกตั้งภายหลังจากการจัดตั้งพรรคได้ 6 เดือนและพบว่าพรรคประชาชาติที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 7 คนเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นลำดับที่ 6 ของพรรคการเมือง จำนวน 26 พรรคที่ผู้สมัครได้รับการเลือกตั้ง แต่หากพิจารณาจากคะแนนของพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่าพรรคประชาชาติมีคะแนนอยู่ที่สี่แสนแปดหมื่นกว่าคะแนนและถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 8

นอกจากนี้ นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวอีกว่า พรรคประชาชาติ เป็นพรรคที่ไม่ใหญ่ อีกทั้ง จะค่อยๆเติบโต และพรรคการเมืองใหญ่ที่ไม่รัก หรือ มีความไม่เสมอภาคกันก็เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในพรรคประชาชาติและเมื่อมีการเปิดสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชาติก็ได้ทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงของคนไทยทุกคนและทั่วทุกภูมิภาค รวมถึง พร้อมที่จะรับเอาปัญหาของประชาชนทุกภูมิภาคเป็นธุระและนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อปรึกษาหารือกันและหาแนวทางแก้ไข รวมถึง จะมุ่งมั่นและทำหน้าที่ด้วยความตั้งอกตั้งใจและอดทน ตลอดจน จะใช้กลไกที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ยังเป็นที่ประจักษ์ด้วยว่า ข้อเสนอต่างๆของพรรคประชาชาติได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นอย่างดี เพราะเป็นข้อเสนอที่มุ่งแก้ปัญหาของประชาชนเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งรัดและแก้ไขให้แล้วเสร็จ รวม 2 ประการ ได้แก่ ประการที่หนึ่ง คือ ความไม่เป็นประชาธิปไตยขอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไท พุทธศักราช 2560 เนื่องจาก มีการกำหนดเงื่อนไขไว้มากมายและยังใช้เป็นกลไกสืบทอดอำนาจของเผด็จการ ดังนั้น พรรคประชาชาติและพรรคร่วมฝ่ายค้าน จึงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และจะมีการเสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ส่วนปัญหาข้อที่สอง คือปัญหาปากท้องของประชาชน เพราะ 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะชะงักงัน หรือ ติดหล่มและประชาชนอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง หรือ ท้อแท้

“รัฐมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย รวมถึง มีการกู้เงินอยู่เรื่อยๆเช่น ในปีงบประมาณ 2563 มีการตั้งงบประมาณไว้ทั้งสิ้น 3.2 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณแบบขาดดุล คือ มีรายได้สุทธิไม่เพียงพอและจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อสมทบ หรือ ชดเชยเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 4.69 แสนล้านบาท หรือ ห้าแสนล้านบาทโดยประมาณ และ 5 ปีที่ผ่านมาก็กระทำในลักษณะเดียวกันซึ่งโดยรวมแล้วได้มีการกู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณ รวม 3 ล้านล้านบาทและหากกู้ต่อไปเรื่อยๆ หรือ กู้ทุกปี ทุกชาติแล้วเราจะเป็นอิสระได้อย่างไร อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของเงินที่กู้มา หรือ ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ก็จะถูกนำไปจ่ายแจกและไม่แจกก็ไม่ได้เพราะประชาชนอดอยากปากแห้ง และ ถือเป็นการบริหารที่สุดทาง เพราะฝ่ายบริหารไร้ฝีมือและพรรคฝ่ายค้านจะมีการยื่นญัตติเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจการบริหารงานของรัฐบาลในเดือนธันวาคม 2562” นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวตอนท้าย