ไทย-เยอรมนี ฟื้นคณะกรรมการร่วมเศรษฐกิจ หลังว่างเว้น7ปี ตั้งเป้าเพิ่มยอดค้า1.6หมื่นล.ดอลล์

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการพบหารือกับนายโทมัส บาไรส์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเศรษฐกิจและพลังงานของเยอรมนี และในโอกาสนำบริษัทชั้นนำของเยอรมนีด้านโลหะการกว่า 50 รายร่วมแสดงสินค้า METALEX 2019 ซึ่งไทยร่วมกับสมาคมผู้ผลิตเครื่องจักรแห่งเยอรมนี (VDW) เป็นเจ้าภาพ จัดระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ว่า เป็นครั้งแรกที่เยอรมนีนำบริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำของเยอรมนีเยือนประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยเยอรมนียินดีให้การสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมโลหะการ เทคโนโลยีพลังงานทดแทน และเกษตรอินทรีย์ อีกทั้งใช้โอกาสนี้เชิญชวนให้เยอรมนีมาลงทุนในไทยมากขึ้น รวมทั้งใช้ไทยเป็นประตูการค้าและการลงทุนสู่ภูมิภาคอาเซียนและเอเชียได้

” ในการหารือ 2 ฝ่ายเห็นพ้องฟื้นเวทีการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย–เยอรมนีระดับรัฐมนตรี ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2546 แต่ว่างเว้นการประชุมไปหลายปีและประชุมครั้งสุดท้ายปี 2555 เพื่อเป็นเวทีกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกันใหม่ และมุ่งขยายการค้าสองฝ่ายจาก 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน เป็น 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 โดยเยอรมนีแจ้งว่าพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมที่กรุงเบอร์ลินกลางปี 2563 นายบาไรส์ยังสนับสนุนให้ฟื้นการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปด้วย ” นายวีรศักดิ์ กล่าว

นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า เยอรมนีถือเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยปี 2561 ไทยและเยอรมนีมีมูลค่าการค้ารวม 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 7.2% โดยไทยส่งออกไปเยอรมนี 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้เเก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เเละไทยนำเข้าจากเยอรมนีมูลค่า 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้เเก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และในปี 2561 ไทยไปลงทุนในเยอรมนีมูลค่าประมาณ 353 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เยอรมนีมีการมาลงทุนในไทยมูลค่าประมาณ 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ