‘ส.ส.สิระ’ ยื่นฟ้อง ‘เสรีพิศุทธ์’ หมิ่นประมาท ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 3 ก.พ.ปีหน้า

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมนายทิวา การกระสัง ทนายความ มายื่นฟ้อง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2562 เวลากลางวัน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จำเลย ขณะปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่อาคารรัฐสภา ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ในฐานะ กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ด้วยข้อความลักษณะเปรียบเทียบเป็นพืชที่ไร้ประโยชน์และมีเนื้อหาที่สื่อความหมายกล่าวหาหรือใส่ความโจทก์ทำนองว่าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แจกเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนโจทก์ในการปลดจำเลยออกจากการเป็นประธาน กมธ. ที่มีเจตนามุ่งทำลายชื่อเสียงโจทก์และทำลายความน่าเชื่อถือโจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.และกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และเป็นการพูดในลักษณะดูถูกดูแคลนโจทก์ ซึ่งทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าโจทก์เป็น ส.ส.ไร้ประโยชน์ โดยถ้อยคำนั้นล้วนเป็นเท็จ

ส่วนที่โจทก์เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า จะประชุมเพื่อเสนอปลดจำเลยออกจากการเป็นประธานกรรมาธิการดังกล่าวนั้น เป็นการเสนอความเห็นต่อสื่อมวลชนในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์และจำเลยตามอำนาจหน้าที่ และข้อบังคับการประชุมสภา และข้อบังคับการประชุมกรรมาธิการ ตนเป็น ส.ส.ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ไม่เคยทำหน้าที่ใดๆ ให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ขณะที่จำเลยเคยตำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเป็นประธานกรรมาธิการ เคยเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย คำพูดของจำเลยจึงทำให้เกิดความน่าเชื่อถือแก่ประชาชน จำเลยซึ่งมีฐานะและตำแหน่งดังกล่าวต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนและเยาวชน ไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี อันจะทำให้ประชาชนและเยาวชนเลียนแบบ โจทก์จึงขอให้ศาลพิจารณาลงโทษจำเลยสถานหนักและขอให้มีการเพิ่มโทษจำเลยในฐานะนักกฎหมายแต่ทำผิดกฎหมายเสียเองด้วย เหตุเกิดที่อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน แขวงนครไชยศรี เขตดุสิต กทม.

ทั้งนี้ ศาลได้รับคำฟ้องไว้ในสารบบ เป็นคดีหมายเลขดำ อ.3078/2562 และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 3 ก.พ.2563 เวลา 09.00 น.

นายสิระให้สัมภาษณ์ว่า ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทจากการให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นตน ทำนองว่าเราแจกกล้วย ซื้อเสียง และเป็น ส.ส.สวะ เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามตน ท่านเป็นอดีต ผบ.ตร. และเป็นอดีตวีรบุรุษนาแก ตอนนี้เป็น ส.ส.และประธาน กมธ.ปราบทุจริต ท่านต้องรับผิดชอบคำพูดของท่าน คำพูดนั้นเอ่ยชื่อตนตลอดเวลา นายสิระมาจากไหน เราเป็นตัวแทนประชาชนมาจากการเลือกตั้ง ถ้าไม่ดีจริงประชาชนไม่เลือกมาเป็นผู้แทนราษฎร ญาติพี่น้องและเพื่อนที่เดือดร้อนเห็นตนถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ก็อาจต้องไปแจ้งความตามโรงพักต่างๆ ด้วย ระดับผู้ใหญ่ต้องรับผิดชอบ คำพูดเป็นนายเรา

“เราก็คงจะต้องให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วย ผมรับไม่ได้ เสียใจนะครับ ที่ตอนเด็กๆ เราคิดว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เราเคารพ วันเกิดของท่านผมไปเกือบทุกปี ไปอวยพรวันเกิดท่านที่บ้าน แต่พอถึงเวลาทำการเมืองยังทำการเมืองแบบนี้ ผมก็คงหมดความเคารพท่านแล้วนะครับ ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานร่วมกันใน กมธ.” นายสิระกล่าว

ถามว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เชี่ยวชาญกฎหมาย มั่นใจว่าจะชนะคดีหรือไม่ นายสิระกล่าวว่า ประวัติของท่านแพ้คดีที่ศาลปกครอง ที่ย้ายลูกน้องเป็นนายเวรลงใต้นอกฤดูกาล ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายเวร ซึ่งเป็นคำสั่งมิชอบของท่าน เป็นกรณีที่นักศึกษากฎหมายต้องเรียน ที่ตนได้มาเพราะนักศึกษาส่งให้ดู นักกฎหมาย อัยการ ศาล ทนาย ก็ติดคุกเยอะแยะ ใครละเมิดกฎหมายต้องรับผิดชอบไป ไม่ใช่เป็นตำรวจจะไม่ติดคุก ตำรวจอยู่ในคุกเต็มเลย

นายสิระกล่าวด้วยว่า มั่นใจในพยานหลักฐานสิ่งที่ท่านกล่าวล่วงเกินตน บอกว่าตนเด็ก สุดท้ายก็อย่าให้เด็กทำอย่างนี้สิ เหมือนเด็กทำอะไรท่านอยู่ก็แล้วกัน เพราะท่านทำกับเด็กอย่างนี้ อยากให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูถูกเหยียดหยามคนอื่นมาโดยตลอดว่าคนอื่นไม่รู้กฎหมาย ชี้หน้า กมธ.ไม่รู้จบอะไรมา ท่านไม่เข้าใจคำว่า ส.ส. ซึ่ง ส.ส.ไม่จำเป็นต้องจบกฎหมาย ต่างสาขาต่างอาชีพแต่ประชาชนเลือกมา ถ้าจบกฎหมายก็ไปเป็นอัยการ ศาล ทนาย ทั้งนี้ ก็ให้ศาลวินิจฉัยถึงที่สุด มาขึ้นโรงขึ้นศาลตอนแก่ เพราะอะไรให้ท่านพิจารณาดู

นายสิระกล่าวถึงกรณีที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เอกสารคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาประธาน กมธ.ล่วงหน้า โดยมีลายเซ็นของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ว่าเรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ คำสั่งแต่งตั้งเปรียบเสมือนคำสั่งโดราเอมอน ต้องนั่งไทม์แมชชีนไปดูว่า กมธ.ลงมติแต่งตั้งใครบ้าง มีโดราเอมอนเท่านั้นที่ทำได้ ต้องรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นคนเซ็นหรือคนเผยแพร่ ถ้าคนเซ็นบอกไม่ได้เซ็น คนเผยแพร่ก็เผยแพร่ความเท็จ ใครจะรับผิดชอบยืดอกออกมา ซึ่ง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ไปดำเนินคดีที่ สน.ทองหล่อแล้ว เรื่องนายวัฒนาเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ และแจ้ง ปอท. เราต้องคุยใน กมธ.ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยังมีความเหมาะสมในการเป็นประธานหรือไม่ เพราะมีผลกระทบกับ กมธ.ทั้งคณะและสภาผู้แทนราษฎร มีระเบียบข้อบังคับ มีเกียรติและศักดิ์ศรีที่ควรจะรักษาไว้ เรื่องการแต่งตั้งยังไม่พูดกันเลย แต่ความผิดสำเร็จแล้วว่าเซ็นก่อนมีมติ กมธ.และนายวัฒนาไปเผยแพร่แล้ว

นายสิระยังตอบคำถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดีรุกที่ดินที่ จ.ภูเก็ต ว่าวันที่ 25 พ.ย.นี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะลงไป เหตุที่วันก่อนตนไม่ได้รับหนังสือจากประชาชน เพราะคณะดังกล่าวไปยื่นกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่สภาแล้ว และยื่น ส.ส.ภูเก็ตแล้ว ซึ่งคาบเกี่ยวกันจึงไม่รับยื่น วันนั้นตนไปดูเรื่องผืนป่า ไม่ได้ตกลงว่าจะไปรับหนังสือ หากยื่นแล้วเรารับมาไม่รู้จะไปไหน ก็ไปที่เดียวกัน
ด้านนายทิวา การกระสัง ทนายความ กล่าวเสริมว่า ถ้อยคำที่พูดเปรียบเทียบ เช่น เหมือนวัชพืชที่ต้องทำลายนั้น ก็เป็นคำหนึ่งที่หมิ่นประมาทและค่อนข้างร้ายแรง ซึ่งคนที่อยู่ในฐานะประธาน กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาพูดกล่าวหาคนอื่นทุจริตลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานนั้นนอกจากเข้าข่ายกล่าวเท็จแล้วยังหมิ่นประมาทด้วย
ส่วนของคดีนี้เรามีคำขอ 3 ข้อ 1.ให้จำเลยแถลงข่าวต่อวิทยุรัฐสภาและโทรทัศน์ช่องเนชั่น, ไทยรัฐทีวี, ทีวีช่อง 3, ช่อง 7, ช่องพีพีทีวี เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน เพื่อขอโทษโจทก์ตามข้อความที่โจทก์กำหนด 2.ให้จำเลยแถลงข่าวขอโทษโจทก์ และลงข่าวขอโทษตามข้อความที่โจทก์กำหนดใน นสพ.ไทยรัฐ, มติชน, ข่าวสด, เดลินิวส์, บางกอกโพสต์, ฐานเศรษฐกิจ เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน 3.ให้จำเลยแถลงข่าวขอโทษโจทก์ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในเว็บไซต์ข่าวสด, ไทยรัฐ, เนชั่น, สยามรัฐ ด้วยข้อความที่โจทก์กำหนด

นายทิวากล่าวด้วยว่า หลังจากยื่นฟ้องคดีอาญาหมิ่นประมาทนี้แล้ว วันนี้ตนยังจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย เพื่อพิจารณาให้ส่งคำร้องของตนไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการทำหน้าที่ประธาน กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต การใช้ดุลยพินิจและอำนาจเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ไปชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายสัตย์ฯ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ กมธ.คณะดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายสัตย์ฯ ตาม รธน.มาตรา 128 และข้อบังคับการประชุมสภา พ.ศ.2562 ข้อ 90(22) หรือไม่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำสั่งไม่รับคำร้องคดี ต.37/2562 ไว้แล้วซึ่งเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม.ตาม รธน.ปี 2560 มาตรา 161 ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรใดตามรัฐธรรมนูญ โดยคำสั่งนั้นมีผลบังคับเสมือนคำวินิจฉัย จึงต้องผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ การที่ กมธ.มีความเห็นว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่ผูกพัน กมธ.นั้นแล้วจะมีอำนาจเรียกนายกฯ – รองนายกฯ มาชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายสัตย์ฯ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เกินอำนาจหน้าที่กฎหมายกำหนดหรือนอกเหนืออำนาจตาม รธน.มาตรา 128 หรือไม่