ธ.ก.ส.ชี้ราคาสินค้าเกษตรพ.ย. ‘น้ำตาล มันสำปะหลัง ปาล์ม หมู กุ้ง’ ปรับขึ้นยกแผง ส่วนข้าว ข้าวโพด ยาง หดตัว

นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่จัดทำโดย ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก คาดว่าราคาขายอยู่ที่ 12.44-12.57 เซนต์/ปอนด์ (8.32-8.41 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.00-2.00% เนื่องจากการเข้าซื้อน้ำตาลทรายคืนจากตลาดของกลุ่มกองทุน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนที่กำลังจะอนุญาตให้บริษัทเอกชนนำเข้าน้ำตาลที่มีอัตราภาษีต่ำ เพื่อจัดสรรโควตาให้กับบริษัทของรัฐบาลถึง 70% ซึ่งจะกระตุ้นให้ประเทศจีนยังคงโควตานำเข้าน้ำตาลในปี 2563

สำหรับมันสำปะหลัง ราคาขายอยู่ที่ 1.71 -1.79 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.18 – 5.92% เนื่องจากมีมาตรการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจากภาครัฐเพิ่มเติม อาทิ การส่งเสริมการใช้มันสำปะหลังในประเทศเพิ่มขึ้น เร่งรัดการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น ประเทศจีน อินเดีย ตุรกี และนิวซีแลนด์ เป็นต้น มาตรการชะลอการขุดกรณีผลผลิตออกเป็นจำนวนมาก และชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกร มาตรการควบคุมการขนย้ายและคุมเข้มการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ราคามันสำปะหลัง

ส่วนปาล์มน้ำมัน ราคาขายอยู่ที่ 2.91-3.01 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.75 – 5.24%เนื่องจากมาตรการต่อเนื่องของภาครัฐในการส่งเสริมให้รถยนต์ใช้น้ำมันดีเซล B10 และ B20 โดยสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้บริโภค ด้วยการลดราคาน้ำมัน B10 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล B7 และได้มีการขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้เพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 ในสถานีบริการ มาตรการดังกล่าวถือเป็นการปรับสมดุลปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน และช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบในตลาดเพิ่มมากขึ้น

สำหรับสุกร ราคาขายอยู่ที่ 61.25 – 62.50 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.40 – 2.40% เนื่องจากเป็นช่วงเปิดภาคเรียน ซึ่งโดยปกติมีความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้น แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงยังมีความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) จึงทำให้เกษตรกรบางส่วนเร่งระบายผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก

ส่วนกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัว/กก. ราคาขายอยู่ที่ 124.50 – 126.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.40 – 3.30% เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นลง ทำให้กุ้งเจริญเติบโตช้า และเกษตรกรมีการปรับตัวในการเลี้ยงกุ้ง โดยลดปริมาณการปล่อยลูกกุ้งและทยอยจับสลับกับการลงกุ้งก้ามกราม แต่ยังคงมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำจากสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับจีน และค่าเงินบาทที่แข็งกว่าประเทศคู่แข่งขัน

นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า สินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% คาดว่าราคาขาย อยู่ที่ 7,868-7,920 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน 0.10-0.76% เนื่องจากค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย ปรับลดการนำเข้าข้าวจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาขายอยู่ที่ 16,087-16,172 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน 0.77-1.29% เนื่องจากผลผลิตข้าวหอมมะลิออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยข้าวหอมมะลิ 105 เริ่มทยอยเก็บเกี่ยวในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562 ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาขายอยู่ที่ 14,050-14,158 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน 0.58-1.34% เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น

ด้านข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาขายอยู่ที่ 7.32-7.36 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน 1.50-2.00% เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดมากในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก ทำให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีความชื้นสูง ผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์จึงไม่นิยมซื้อเก็บสต็อกไว้ ส่งผลให้ความต้องการใช้ภายในประเทศทรงตัว

ส่วนยางพาราแผ่นดิบ ราคาขายอยู่ที่ 35.08-35.37 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน 0.25-1.06% เนื่องจากค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และความต้องการจากประเทศจีนลดลง เนื่องจาก บริษัท ฉงชิ่ง จำกัด รัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้รับซื้อยางพารารายใหญ่ของประเทศจีน ปิดกิจการ ประกอบกับบริษัทต่างประเทศเริ่มมีการเคลื่อนไหว หยุดใช้ยางพาราและไม้ยางพาราที่ไม่ผ่านมาตรฐานการจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน