‘อนุดิษฐ์’ ลั่นซักฟอกรัฐบาลแน่ ส่อทุจริตอื้อ! ปูด รมต.หลายคน สังคมคาดไม่ถึง

‘อนุดิษฐ์’ ลั่นซักฟอกรัฐบาลแน่ ส่อทุจริตอื้อ ปูด รมต.หลายคน สังคมคาดไม่ถึง
เมื่อเวลา 15.50 น. วันที่ 4 พ.ย. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พท. นำโดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรค นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคพท. ร่วมแถลงภายหลังการประชุม

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า หลังเปิดประชุมสภาวันที่ 6 พ.ย.นี้ ทางพรรค พท.จะขับเคลื่อนการทำงานของพรรคให้สอดคล้องกับการทำงานในสภาฯ โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งเราคิดว่าข้อมูลและความชัดเจนเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่บกพร่อง ผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพ ได้มีให้เห็นมาโดยตลอด รวมถึงภายใต้คณะ กมธ.ทั้ง 35 คณะ ได้เห็นร่องรอยของความทุจริตคอร์รัปชั่น ด้วยข้อมูลเหล่านี้เราเห็นว่าควรยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เราทำงานร่วมกับพรรคร่วม ดังนั้นวัน เวลาและตัวบุคคล ที่จะอภิปรายคงจะได้มีการหารือกับพรรคร่วมอีกครั้ง

ทั้งนี้ เราเห็นว่ามีรัฐมนตรีหลายคนที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ บางคนเป็นคนที่สังคมอาจจะคาดไม่ถึง อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อมูลที่มีอยู่เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องของกรอบเวลา แต่ขอหารือกับพรรคร่วมก่อนเพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเราจะสามารถสะท้อนให้เห็นการบริหารงานที่ผิดพลาดและบกพร่องของรัฐบาลให้ประชาชนได้เห็น

ด้านนายวรวัจน์ กล่าวถึงการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณฯ ว่า ขณะนี้เราพิจารณาไปแล้ว 2 กระทรวงคือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิตัลฯ และขณะนี้กำลังพิจารณากระทรวงทรัพย์ฯ ซึ่งกระบวนการจัดทำงบประมาณครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการงบประมาณของภาครัฐ ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน และไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ มีร่องรอยของการทุจริต ซึ่งกมธ.กำลังหาข้อมูลในเชิงลึกอยู่ ซึ่ง กมธ.เห็นว่างบฯปีนี้จะมีปัญหาเรื่องการกระจายงบฯ อย่างแน่นอน นอกจากนี้ กมธ.ได้มีการพูดคุยกันถึงการเสนอปรับลดงบฯ จำนวนมาก โดยเฉพาะงบฯ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และส่อไปในทางเอื้อให้มีการทุจริต ดังนั้นอย่าตกใจหาก กมธ.จะเสนอตัดงบฯ จำนวนมาก

“ปีนี้มีการใช้งบพลางก่อน คือมีการให้ใช้งบไปก่อนที่ร่าง พ.ร.บ.จะผ่านการพิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ไปเพื่อเป็นเงินเดือนของข้าราชการประจำ และจะประกาศในราชกิจานุเบกษาเพื่อให้เป็นกฎหมาย แต่ปีนี้มีการใช้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ที่ให้อำนาจสำนักงบฯ สามารถให้อำนาจนายกฯ ใช้งบฯ ส่วนนี้ได้เลย โดยไม่ต้องประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษา ซึ่งประเด็นปัญหาอยู่ที่มาตรา 52 ที่กำหนดว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยที่รับงบฯ ถ้าไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ นอกจากจะถูกดำเนินคดีแล้ว อาจถูกเรียกเงินคืน”

“ซึ่งเราพบว่ามีโครงการที่ส่อเอื้อทุจริต และไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งอาจถูกเรียกเงินคืนหาก กมธ.ไม่เห็นด้วย หรือไปปรับลดงบฯ ตรงส่วนนั้นๆ ลง แปลว่าการใช้งบฯ ส่วนนั้น จะเป็นการใช้งบฯ ที่ผิดกฎหมายทันที ผมมองว่ามาตรานี้มีความไม่ชัดเจน ซึ่งทางรัฐบาลควรที่จะต้องทำให้ชัดเจนก่อน เพื่อที่จะไม่เป็นปัญหาตามมาภายหลัง เพราะไม่เช่นนั้น หากท่านใช้เงินไปแล้ว แต่ถูกเรียกเงินคืนจะเป็นปัญหาที่กระทบต่อการทำงาน และประชาชนที่ได้รับงบฯ เป็นอย่างมาก” นายวรวัจน์ กล่าว

ขณะที่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า กมธ.ตั้งเป้าปรับลดงบฯ ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทจากทั้งหมด ที่จะเอามาทำประโยชน์ในทางอื่นได้ ซึ่งมีงบฯ ที่ไม่สามารถชี้แจงได้ โดยเฉพาะในส่วนของงบฯ กลาง ซึ่งสูงถึง 9.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่งบฯ รายกระทรวงดูแล้วจะปรับลดได้รวมแล้วกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ มีการจัดงบฯ ที่ซ่อนเม็ดเงินไว้ ทำให้ กมธ.ตามดูลำบาก นอกจากนี้ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปีนี้ทำได้ลำบาก เพราะตัวร่าง พ.ร.บ.เข้ามาสู่การพิจารณาช้า ทำให้โดนบีบด้วยเงื่อนเวลา