“ยุทธพงศ์” แฉ เปิดบ่อนกลางสีลม จี้ “บิ๊กตู่” จัดการ ฐานะดูแลสตช. อัด เขียนงบ 63 เกรงใจ “บิ๊กแดง”

“ยุทธพงศ์” แฉ เปิดบ่อนกลางสีลม จี้ “บิ๊กตู่” จัดการ ฐานะดูแลสตช. อัด เขียนงบ 63 เกรงใจ “บิ๊กแดง” รายละเอียดน้อย-บรรทัดเดียวก็ได้งบแล้ว

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย(พท.) อภิปราย 4 เหตุผลที่เห็นว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ไม่เหมาะสมคือ 1.ไม่มีวินัยด้านการเงินการคลัง ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา การทำงบประมาณมีการกู้เงินทุกปีและกู้เงินหนักขึ้นทุกปี แต่บอกว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่รวย แสดงว่ากู้แล้วรวยใช่หรือไม่ 2.การตั้งงบประมาณเลื่อนลอย เกรงใจทหาร ไม่รู้เกรงใจบิ๊กแดงจริงหรือไม่ บางรายการเขียนแค่บรรทัดเดียว โดยไม่มีรายละเอียดเลย สำนักงบประมาณก็อนุมัติงบให้ได้เงินไป 1.6 หมื่นล้านบาท

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า 3.งบประมาณที่ตั้งไว้ ไม่สามารถใช้ได้จริง ในงบปี 2563 งบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) 122,800 ล้านบาท โดยบอกว่าเอาไปป้องกันปราบปรามและลดระดับอาชญากรรมขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ให้ปรากฏผลชัดเจนเป็นรูปธรรม ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย และด้านความปลอดภัยที่มีมาตรฐาน แต่ตนไม่เชื่อว่าทำได้จริง วันนี้รัฐบาลใช้เงินไปมหาศาลว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ ใช้งบประมาณด้านความมั่นคง แต่ไม่เกิดผล ตอนนี้แถวๆ สีลม ซึ่งเป็นย่านธุรกิจของประเทศไทย ปรากฏว่าช่วงปิดสมัยประชุมตนไปดูแถวสีลม และตอนนี้เพื่อนตนที่ทำงานอยู่แถวนั้น บอกเดี๋ยวนี้แถวสีลมซบเซา คนไม่มีเงินเช่าออฟฟิศ แถวนั้นจึงเปลี่ยนไปเปิดคาสิโน ตนไม่เชื่อ เพื่อนก็พาไปดู พบว่ามีคาสิโนเปิดอยู่สีลมกลางกทม. อยู่ถนนธนิยะ ใต้สถานีรถไฟฟ้าสีลม ซึ่งฝั่งขวาขึ้นกับสน.บางรัก ฝั่งซ้ายขึ้นกับ สน.ทุ่งมหาเมฆ เดินเข้าไปถนนธนิยะ 300 เมตร อยู่ขวามือ มีคนคอยดูต้นทาง ทางเข้าบ่อนสีลม

“ เขาบอกว่า ‘เฮียตี้’ มาเปิดบ่อน เป็นไปได้อย่างไร อย่างนี้ผมต้องฟ้องนายกฯ ต้องไปจัดการ เพราะนายกฯเป็นคนดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ” นายยุทธพงษ์กล่าว

นายยุทธพงษ์ กล่าวต่อว่า ที่นายกฯบอกว่าต้องเร่งเอางบประมาณไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เชื่อหรือไม่ว่าเวลาหน่วยงาน กระทรวงที่เป็นพลเรือนประมูลงาน เวลาประมูลเสร็จรายการไหนที่มีการผูกพันงบประมาณ จะต้องขอความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณ แต่สำนักงบฯดึงเรื่อง 8 เดือนกว่าจะให้ความเห็นชอบงบประมาณ แล้วอย่างนี้จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร แต่ของทหาร ตำรวจกลับเร็ว ขอฝากนายกฯไปตรวจสอบด้วย

นายยุทธพงษ์ กล่าวต่อว่า ข้อที่ 4 ไม่ทำตามนโยบายที่ได้แสดงไว้ต่อสภาฯ ตามนโยบายเร่งด่วนข้อที่ 8 เรื่องแก้ไขปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ เช่น เรื่องรถไฟฟ้าบีทีเอส ขณะนี้มีการทำส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส เส้นสีเขียวเหนือจากสถานีหมอชิตไปถึงสถานีคูคต กับสีเขียวใต้ จากสถานีแบร์ริ่ง ถึงกทม.เคหะบางปู ตรงนี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ลงทุนงานโยธาไป 6 หมื่นล้านบาท ระบบเดินรถอีก 2 หมื่นล้านบาท เป็น 8 หมื่นล้านบาท แล้ว กทม.ไปรับโอนหนี้มา ตอนนี้กทม.เป็นหนี้รฟม.อยู่ 8 หมื่นล้านบาท แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะจะเป็นหนี้รฟม.หรือกทม.ก็เป็นรัฐบาลเหมือนกัน และในงบประมาณปี 2563 ไม่มีการตั้งงบประมาณไปชดเชยหนี้แต่อย่างใด แสดงว่าไม่ได้เดือดร้อนอะไร ขณะที่กระทรวงมหาดไทยได้ตั้งคณะกรรมการ โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญที่พิจารณาเรื่องบีทีเอสของสภาฯ บอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องขยายสัมปทานให้บีทีเอสอีก 40 ปี ขณะนี้ตนทราบว่าคณะกรรมการที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ได้พิจารณาเสร็จแล้ว กำลังจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อเสนอนายกฯ ให้ต่อสัมปทานให้รฟม. ดังนั้น อย่ามาอ้างว่าเป็นหนี้ และเมื่อตนอภิปรายเสร็จก็จะเอาเอกสารของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเรื่องบีทีเอสไปมอบให้กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่นั่งฟังอยู่ด้วย และรมว.มหาดไทยก็ประกาศว่าจะจัดการกับการทุจริตต่างๆของกระทรวงมหาดไทย

นายยุทธพงษ์ กล่าวต่อว่า ขอฝากเรื่องกทม.ด้วย เมื่อปี 2561 สำนักโยธาธิการ ประกาศประกวดราคาจ้างโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมกาญจนาภิเษก –พุทธมณฑล สาย 2 โดยประกวดราคาผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่บอกว่าผู้ที่มาประมูลงานจะต้องมีผลงานไม่น้อยกว่า 450 ล้านบาท ผลงานย้อนหลัง 10 ปี เป็นผลงานของรัฐวิสาหกิจ เอกชน หรือท้องถิ่น ในสัญญาเดียว ต่อมา ปีเดียวกันสำนักโยธาฯ ประกวดราคาจ้างโครงการก่อสร้างถนนสายอ่อนนุช –ลาดกระบัง ใช้ระบบประกวดราคาผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่ไปล็อกผลงานว่าต้องมี 500 ล้านบาท และต้องเป็นผลงานที่อยู่กทม.ย้อนหลัง 10 ปี อย่างนี้สวนทางนโยบายของรัฐบาลที่จะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้น ขอให้นายกฯได้ปรับปรุงแก้ไขงบประมาณนี้ให้เหมาะสมก่อน แล้วค่อยนำเข้ามาเสนอต่อสภาฯ

จากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงว่า เรื่องบีทีเอสที่นายยุทธพงศ์อภิปรายมา ไม่มีความเกี่ยวข้องอยู่ในงบประมาณรายจ่ายปี 2563 เพราะไม่มีการตั้งงบประมาณมาให้พิจารณา แต่สิ่งที่ระบุบอกว่า การต่อสัญญารถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว 40 ปี มีความไม่โปร่งใสนั้น ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่เป็นข้อทุจริต เรื่องนี้มีคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ(พีพีพี) พิจารณาเรื่องการต่ออายุสัมปทานอยู่ เมื่อกรรมการชุดนี้ตัดสินใจอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบ และใครอนุมัติก็ต้องรับผิดชอบ ถ้ามีการโกงก็ต้องติดคุก ปิดบังกันไม่ได้ เรื่องนี้สังคมและสื่อต้องรับรู้ ตนไม่ได้เพิกเฉย ส่วนเรื่องการล็อกสเปกการก่อสร้างถนนกาญจนาภิเษก-พุทธมณฑลสาย 2 และถนนอ่อนนุช-ลาดกระบังนั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่จะไปสอบสวนหาข้อเท็จจริงให้ หากมีอะไรไม่โปร่งใสจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ทั้งวินัยและอาญา กระทรวงมหาดไทยไม่ปล่อยปละละเลยแน่