ธีรยุทธชี้ “ความเมือง” ครอบงำไทย แทนที่ระบบคิดแบบ “การเมือง”(คลิป)

“ธีรยุทธ”ชี้”ความเมือง”ครอบงำไทย แทนที่ระบบคิดแบบ “การเมือง” 

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว นายธีรยุทธ บุญมี นักวิพากษ์วิจารณ์ด้านการเมือง บรรยายพิเศษเรื่อง “ประชาชน พรรคการเมือง ทหารไทย ติดกับดักวิกฤตใหม่ประเทศไทย” จัดโดยวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และมูลนิธิ 14 ตุลา ตอนหนึ่งว่า มีกระบวนทัศน์ใหม่ที่เข้ามาครอบงำคนไทยคือ “ความเมือง” เข้ามาแทนที่ระบบคิดแบบ “การเมือง” โดยวงการรัฐศาสตร์มีความคิดหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาขึ้นคือความคิดว่าสิ่งที่สะท้อนแก่นแท้ของสังคมมนุษย์มากกว่า “การเมือง” (the politic) คือสิ่งที่เรียกว่า “ความเมือง” (the political)

นายธีรยุทธกล่าวว่า คำว่า “การเมือง” มีนิยามว่าเป็นพื้นที่การแข่งขันของความคิดที่ต่างกัน หรือโกรธกันระหว่างบุคคลก็ได้ แต่สามารถหาข้อสรุปโดยเสียงส่วนใหญ่ แต่ “ความเมือง” เป็นเรื่องการต่อสู้แบบรวมเบ็ดเสร็จ (totality war) ของกลุ่มคนซึ่งมองอีกกลุ่มในแง่เป็น “พวกเรากับศัตรู” เป็นความสัมพันธ์เชิงสงคราม ระบบคิดแบบ “ความเมือง” พื้นฐานของสังคมคือกลุ่มบุคคลที่อยู่ด้วยความหวาดระแวง ต้องเอากลุ่มตัวเองให้อยู่รอด กลุ่มอื่นต้องทำลายล้าง

ห่วง”ความเมือง”ทำขัดแย้งแรงขึ้น

นายธีรยุทธ กล่าวว่า น่ากังวลว่า ปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งกำลังรับกระบวนทัศน์แบบ “ความเมือง” มาใช้ในภาวะปกติ โดยไม่มีวิกฤตใดๆ เพราะเรามีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลแล้ว ทำให้กระบวนการการเมืองธรรมดาต้องเปลี่ยนเป็น “ความเมือง” ทำให้นักการเมืองกลายเป็น “นักความเมือง” พรรคการเมืองกลายเป็น “พรรคความเมือง” จากการเล่นการเมืองกำลังเป็นการ “เล่นความเมือง” นักวิชาการกลายเป็น “นักโฆษณาความเมือง” ทหารฝ่ายความมั่นคงเป็น “ทหารฝ่ายความเมือง”

“ระบบคิดแบบ “ความเมือง” ทำให้ความขัดแย้งขยายตัวน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากความขัดแย้งเหลือง-แดง เป็นเรื่องชนชั้นกลางในชนบทกับชนชั้นกลางชั้นสูงในเมือง ต่อมาเพิ่มประเด็นเป็นภาคเหนือ อีสาน ใต้ ความขัดแย้งเผด็จการ-ประชาธิปไตย การเลือกตั้งล่าสุดก็เพิ่มประเด็นคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ ความคิดเก่า ความคิดใหม่ การที่ความขัดแย้งขยายตัวมาตลอด บ่งชี้ว่ารัฐบาลกับทหารจัดการกับวิกฤตการผิดพลาด มองปัญหาใจกลางผิดและอาจนำไปสู่ปัญหาใหม่ที่ร้ายแรง”นายธีรยุทธกล่าว

นายธีรยุทธกล่าวว่า การเกิด “ระบบบความเมือง”ในขณะนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น เป็นวิกฤตใหม่ที่ควรกังวล และต้องช่วยกันให้ทุกฝ่ายคลี่คลาย ผ่อนความขึงตึงจนเกินไปลง หนทางแก้ไขคือ 1.สังคมทั่วไปควรมองสถานการณ์ให้กระจ่าง เพราะพอคนมองว่าเป็นศัตรูจะเลวร้ายทั้งหมด ต้องตั้งสติอยู่ตรงกลาง หรือเสริมพลังทางบวกที่จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ของสังคม เสริมความรู้สึกแบบเพื่อนมิตร 2.ฝ่ายรัฐต้องธำรงความเป็นกลาง ไม่ไปเข้าร่วมการใช้ “ความเมือง” ทำลายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

00แนะ”บิ๊กตู่”โฟกัสแก้ปากท้อง

นายธีรยุทธกล่าวว่า คาดว่าคนจำนวนมากยังต้องการให้ประเทศได้มีรัฐบาลบริหารงานไปอีกสักระยะหนึ่ง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯควรปรับปรุงวิธีการทำงาน เพราะการควบคุมประสานพรรคร่วมรัฐบาลลำบากยากขึ้นเรื่อยๆ ควรตั้งเป้าหมายระยะยาว แต่ต้องให้ได้ผลจริงจังสัก 2-3 เรื่องก็พอ งานที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ควรทำ ประการแรกคือ โฟกัสการแก้ปัญหาปากท้องของชาวบ้านอย่างจริงจัง ที่เคยเรียกว่า “รวยกระจุก จนกระจาย กลางกระจ้อน” กระจ้อนคือ แคระแกร็น เพราะปัญหาความเหลื่อมล้ำมีสูง คนจน คนชั้นกลางก็ลำบากจริง การแก้ปัญหาจริงทำได้ยาก แต่นายกฯก็ต้องทุ่มเททำ

“ประการที่สอง คือ การเพิ่มคุณภาพของคนทุกวัยในด้านการศึกษา พัฒนาทักษะใหม่ อาชีพสำหรับเศรษฐกิจแบบดิสรัปทีฟ (disruptive) ที่เกิดขึ้นรวดเร็วในหลายด้าน ต้องใช้อำนาจบารมีของ พล.อ.ประยุทธ์เอง ในการลงมือแก้ไขปัญหาเอง แก้ปัญหาครบทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ เช่น ต้องประกันรายได้การงานให้และควรทำแบบเลือกสรรเฉพาะส่วน เพราะการปฏิรูปทั้งระบบจะใหญ่โตเกินไปไม่สามารถทำได้จริง”นายธีรยุทธกล่าว