“ปิยบุตร” สอน “บิ๊กแดง” เลิกสร้างความแตกแยก เลคเชอร์จัดหนักเรื่องชาติ-รัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนค. เปิดเวทีบรรยายพิเศษ โดย “แผ่นดินของเราในมุมมองประชาธิปไตย : บทบาทของประชาชน ในการสร้างชาติ” โดยมีประชาชนเข้าร่วมฟังการบรรยายอย่างคึกคัก

โดยนายปิยบุตรได้กล่าวบรรยายไว้ดังนี้ นี่คือการบรรยายตอบโต้ผบ.ทบ.ที่บรรยายไปเมื่อวานนี้ แม้ไม่การเอ่ยชื่อนักการเมือง หรือพรรคการเมืองไหนแบบเฉพาะเจาะจง แต่ทุกคนก็ทราบดีว่าหมายถึงพรรคอนค. และนายธนาธน จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนค. และอาจจะหมายถึงตรน และหลายๆคนในพรรคอนค.ด้วย ทั้งนี้ การบรรยายวันนี้เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน กระมิดกระเทียน ประดิษฐ์วาทะปิดไปบิดมา ไม่ต้องกระแทกกระทั้นเสียงราวกับจะสบถคำออกมา ไม่ต้องใช้ภาพเงาดำทะมึน หรือตั้งฉายาให้คนนั้นคนนี้ ผมต้องการแก้ไขความเข้าใจคลาดเคลื่อน และสะท้อนปัญหาวิธีคิดของผบ.ทบ. หากท่านฟังแล้วไม่รื่นหู ไม่สบายใจก็ต้องขออภัย แต่การบรรยายในครั้งนี้จะเป็นมิติใหม่ในการสื่อสารกับผบ.ทบ.อย่างตรงไปตรงมา

คำว่าแผนดินของเรา หรือคำร่วมสมัยที่ใช้กันโดยกว้าง คือ ชาติ คำใดก็ดีคือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา เพื่อต้องการสร้างจินตนาการร่วมกันของคนในชาติที่มาอยู่ร่วมกัน โดยใช้วัฒนธรรม มีผิว แนวคิด และประวัติศาสตร์มาร้อยรัด ชาติจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขนาดใหญ่ที่ก่อเกิดในจิตสำนึกร่วมกันถึงความเสียสละในอดีต และสิ่งที่จะทำต่อร่วมกันในอนาคต ดงั้นนั้ เวลาพูดเรื่องชาติจึงมีการผูกโยงเรื่องนี้ แต่คนในชาติอยู่ในปัจจุบัน จะทำอย่างไรให้คนในปัจจุบันนึกถึงอดีต และสร้างอนาคตร่วมกัน ก็ต้องมีข้อเท้จจริงอะไรบางอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงในปัจจุบันด้วย วิธีการรูปธรรมที่ปรากฎในปัจจุบันคือ การเขียนประวัติศาสตร์ย้อนหลัง แล้วบอกว่า สุโขทัย อยุทธยา และรัตนโกสินทร์ เป็นชาติมาตั้งนานแล้ว ทั้งนี้ ยุคปัจจุบันมีการถอดรื้อเอาความศักดิ์สิทธิ์ออกจากผู้ทรงอำนาจสูงสุด ให้ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจาสูงสุด ดังนั้น หากเราต้องการให้คนในยุคปัจจุบันเกิดจิตสำนึกร่วมกัน จะต้องจับข้อเท็จจริงในปัจจุบันให้ได้ จึงจำเป็นต้องสร้างประชาชน เพื่อให้ประชาชนมาสร้างชาติ คนในชาิที่ชื่อว่าประชาชน จะเกิดจิตสำนึกร่วมกัน เห็นอกเห็นใจกัน เคารพซึ่งกันและกัน และเสียสละเพื่อสร้างชาติ ชาตเจึงเท่ากับประชาชน และประชาชนจึงเท่ากับชาติ ไม่มีประชาชนก็ไม่มีชาติ ประชาชนและชาติในยุคปัจจุบันนี้จึงเปรียบเสมือนสองด้านในเหรียญเดียวกัน ขาดอะไรไปอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

วันนี้โลกไร้พรหมแดนมากขึ้น มีการเคลื่อนไหวของประชากร เราต้องสร้างคุณค่าพื้นฐานร่วมกันใหม่ๆเพื่อสร้างชาติ เช่น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ วามเสมอภาค การพึ่งพาอาศัยกันฉันเพื่อนร่วมชาติ และการเคารความแตกต่างหลากหลาย ถ้าเรายึดโยงกันในเรื่องนี้ได้ เราจะสามารถสร้างชาติกันอย่างเป็นสากลได้ ผมอยากเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกคน แม้เราจะมีความเห็นที่แตกต่าง อาจะเคยทะเลาะกันมาบ้าง หรือสนับสนุนใครในทางการเมืองที่ต่างกันบ้าง แต่เราคือประชาชนคนไทยที่อยู่ในชาติเดียวกัน ผมจึงอยากชวนทุกคนมาสร้างชาติ สร้างวแผ่นดิของเราโดยการเคารพความเป็นคนของผู้อื่น สร้างแผ่นดินของเราโดยการยึดมั่นในสิทธิ และเสรีภาพ และสร้างชาติด้วยการเคารพความแตกต่างหลากหลาย ทั้งนี้ เมื่อชาติเท่ากับประชาชนแล้ว เมื่อพูดถึงชาติแล้ว ความมั่นคงของชาติ หรือประเทศจึงเท่ากับความมั่นคงของประชาชนไปด้วย ได้แก่ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ประชาชนจำเป็นต้องอิ่มท้อง ความมั่นในชีวติ คือเขาต้องอยู่รอด ปลอดภัย ออยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี แล้วเอาสิทะิเสรีภาพที่มีไปสร้างสรรค์ชีวิตของตนเอง แล้วเอาควาสร้างสรรค์นั้นมาสร้างชาติอีกทีหนึ่ง และประชาชนต้องมีความมั่นคงทางการศึกษา ต้องให้เขานำความรู้ไปสร้างสิ่งต่างๆที่พูดมา แผนดินของเราในมุมมองประชาธิปไตย บทบาทของประชาชนในการร้างชาติจึงสรุปได้ว่า แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินที่คนไทยร่วมกันรักษา และหวงแหน ต้องเป็นแผ่นดินของคนไทยทุกคน ที่คนทุกคนเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเคารพสิทธิ เสรีภาพ โดยรัฐบาลมีหน้าที่สร้างความมั่นคงในชีวิตด้านต่างๆให้ประชาชน

ต่อมาคือ เรื่องรูปของรัฐกับรัฐธรรมนูญ เวลาเราแบ่งรูปของรัฐ เราพิจารณาจากที่มาของประมุขของรัฐว่ามาจากทางไหน ถ้าประมุขของรัฐสืบทอดกันมาทางสายโลหิตเราจะเรียกว่าราชอาณาจักร แต่หากมาจากการเลือกตั้ง เราจะเรียกว่าสาธารณรัฐ หรือพิจารณาจากการจัดวางในรัฐ คือ สหพันธรัฐ และรัฐเดี่ยว ดังนั้น เราจึงต้องดู 2 อย่าง คือ เกณฑ์ประมุขของรัฐ กับโครงสร้งของรัฐ ซึ่งรูปของรัฐเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ และในบางรัฐกำหนดในรัฐธรรมนูญให้รูปของรัฐเป็นบทบัญญัตินิรันดร คือจะแก้อะไรก็แก้ไป แต่อย่าแก้จนเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ ซึ่งบางประเทศเห็นว่าไม่ควรไปล็อกกับรูปของรัฐจนเกินไป ให้แก้ได้ แต่แก้ให้ยาก เช่น ที่สเปน สหรับประเทศไทย เวลาเราเขียนรัฐธรรมนูญ เราบัญญัติรูปของรัฐในรัฐธรรมนูญมาตราต้นๆ มาตรา 1,2,3, มักจะว่าด้วยเรื่องความใครเป็นเจ้าของอำนาจ รูปของรัฐ และการปกครองในระบอบใด ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ 60 ผบ.ทบ. พูดเรื่องมาตรา 1 ผมอยากเรียนว่า เวลาที่ท่านพูดว่ารัฐธรรมนูญแก้ได้ หรือไม่ได้ อยากให้ท่านหยิบรัฐธรรมนูญมาเปิดดู ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสิน ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 255 เขียนเอาไว้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำมิได้ นี่คือข้อจำกัดในการแก้ไขที่ห้ามไม่ให้แตะต้องแก้ไขรูปแบบของรัฐ และการปกครอง ขณะที่มาตรา 1 โดยตัวมันเอง ลองไปเปิดมาตรา 256(8) ระบุว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1,2 และ 15 ต้องผ่านประชามติ ดังนั้น แปลว่าแก้ได้ แต่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และรูปแบบของรัฐ โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนวินิจฉัยว่าแก้แล้วจะกระทบหรือไม่ ดังนั้น สิ่งที่ผบ.ทบ.พูดมานั้น คือการเข้าใจรัฐธรรมนูญผิดทั้งหมด เป็นการหยิบยกเอาความคิดเห็นของนักวิชาการคนหนึ่งขึ้นมาทำลายความชอบธรรมในการับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของซีกพรรคฝ่ายค้าน ท่านพยายามโยงกว่าการแก้รัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้านจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเรายืนยันแล้วว่าไม่จริง เพราะเราเห็นแล้วว่ารัฐธรรมนูญเขียนล็อกให้แก้ไม่ได้ เราจะแก้โดยการตั้ง สสร. และยกเว้นการแก้หมวด 1 และหมวด 2 ด้วยซ้ำ พูดในที่สาธาระหลายที ดังนั้น ผบ.ทบ.ไม่ควรเอาความคิด ความเชื่อของตัวท่านเองมาทำลายกระบวนการขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เพราะพวกเราใช้ช่องทางแก้รัฐธรรมนูญตามระบบที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ดังนั้น ไม่มีวัน และไม่มีทางที่แก้รัฐธรรมนูญแล้วจะเปลี่ยนรูปแบบของรัฐ หรือการปกครอง ตรงกันข้ามคณะรัฐประหารเวลาเข้ามายึดอำนาจการปกครอง ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ รัฐประหารต่างหากที่ฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วมีโอกาสเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่รัฐสภาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อยากให้คิดให้ดีกว่า ระหว่างคนที่มีปากกา มีปาก มีความคิด กับคนที่มีอาวุธ ใครกันแน่ที่ละเมิดมาตรา 1 มากกว่ากัน

เรื่องต่อมาคือ กระบวนการทำให้รัฐกลายเป็นรัฐทหาร ซึ่งทหารยุคใหม่เขาจะออกไปให้พ้นจากการเมือง มุ่งเน้นการรักษาราชอาณาจักร เวลาที่ท่านไปต่างประเทศ หรือไปทำข่าวต่างประเทศท่านจำชื่อ ผบ.ทบ.ประเทศนั้นได้ไหม แต่ทำไมเวลามาบ้านเรา ใครก็จำได้แม่นเลย บิ๊กนั่นต่อบิ๊กโน่น ต่อบิ๊กนี่ ประเทศอื่นแยกกองทัพออกจากการเมือง แต่ประเทศไทยกลับต่อเนื่องมากเรื่อยๆ และแยบคายมากขึ้น โดยคงอำนาจของกองทัพไว้ได้ต้องมีวิกฤติ เพื่อให้เขาสืบทอดอำนาจไว้ได้เพื่อแก้ไขวิกฤติ มีการพยายามทำเรื่องยกเว้นให้เป็นเรื่องทั่วไป และเป็นเรื่องปกติ จากยกเว้น เลยเป็นถาวร เช่น มาตรา 44 ที่ให้อำนาจพิเศษ กลายเป็นอำนาจปกติ จึงต้องทำให้มีวิกฤติอยู่ตลอด ล่าสุดอ้างเรื่องการล้างสมองคนรุ่นใหม่ เกิดวงจรรัฐประหารที่เรียกว่าวงจรอุบาทก์มาหยุดยั้งการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตย เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนตระหนักรู้ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เมื่อใดตามที่ประชาชนปรากฎกาย เมื่อใดก็ตามที่ประชาธิปไตยรุดหน้าไปเกินกว่าเขาจะควบคุมได้ เมื่อนั้นจะเกิดรัฐประหาร

พรรคอนค.ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย นายตำรวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ไม่เคยเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติงานจริง ที่เรายืนยันมาตลอดคือ อำนาจต้องมาพรัอมการตรวจสอบ ดังนั้น องค์กรใดมีอำนาจ องค์รกรนั้นต้องถูกตรวจสอบ นักการเมืองไทยพร้อมที่โดนตรวจสอบตลอดเวลา ตงเองเข้ามาก็โดนตรวจสอบมาโดยตลอด แต่กลับมีหลายเรื่องที่อ้างอุดมการณ์ และผลประโยชน์ชาติทั้งที่ความจริงแล้วใครได้ผลประโยชน์ไปจากโครงการใหญ่ๆ คงไม่ต้องกล่าวซ้ำที่นี่ นอกจากนี้ ทหารถอยกลับกรมกอง แต่กลับตบเท้าเป็นระยะ ผบ.ทบ.บอกว่าท่านไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ที่ท่านพูดเมื่อวานนี้คือการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองทั้งหมด ทั้งนี้ประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าต้องตรงข้ามกับทหาร เพราะรัฐจำเป็นต้องมีกองทัพ แต่ตนขอตั้งคำถามไปยัง ผบ.ทบ. ที่กล่าวว่าประเทศมีปัญหาต่างๆมากมาย และหากปัญหาใหญ่ขนาดนี้เราจะฝากความหวังไว้ที่กองทัพที่ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตย แทรกแซงการเมืองได้เสมอ พร้อมรัฐประหารทุกเวลา และยังติดอยู่ในยุคของสงครามเย็น รวมถึงจะฝากไว้กับสื่อยุยงปลุกปั่นที่เรียกว่าดาวสยาม 4.0 ได้หรือไม่ จึงอยากเชิญชวนผู้บัญชาการทหารบกและกองทัพ มาร่วมพูดคุย อย่ามองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ต้องเลิกวิธีการสร้างศัตรูภายในใจ ต้องบอกว่าความเห็นที่แตกต่างกันนั้นสามารถอยู่อาศัยร่วมกัน ท่านต้องยอมรับความเป็นจริงว่าปรากฏการณ์ของพรรคอนค. เกิดขึ้นแล้ว มีประชาชนคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ตื่นรู้ และหากแก้ปัญหาโดยการมองว่าคนเหล่านี้ถูกปลุกปั่นก็จะแก้ปัญหาไม่ตรงจุด จะแก้ไขปัญหาด้วยการกำจัดคนเหล่านี้ให้ออกไปจากประเทศไทยหรือ หรือจะตีกรอบให้ไม่มีเสรีภาพจะเอาไปปรับทัศนคติอย่างนั้นหรือ

ขอเรียนท่านผบ.ทบ. ว่าอย่ากังวลใจกับตนเอง อย่ากังวลใจกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่ากังวลใจกับพรรคอนค. อย่ากังวลใจกับคนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ท่านอาจจะคิดว่าผมเป็นพวกซ้ายจะดัดจริต คนพวกนี้ชอบแต่จะศึกษาเรื่องราวปฏิวัติ เรื่องนี้ตนไม่เถียง ตนศึกษาเรื่องปฏิวัติทั่วโลก เพื่อเป็นบทเรียนและพิจารณาร่วมกันว่าทำอย่างไรให้ประเทศไทยไม่ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ การเปลี่ยนแปลงบนโลกนี้เกิดขึ้นได้สองรูปแบบ คือการปฏิวัติและการปฏิรูป ดังนั้นการที่ตนศึกษาเรื่องการปฏิวัติ แต่ตนเองสนับสนุนและอยากให้ประเทศไทยเกิดปฏิรูป ให้คนในชาติได้อยู่อาศัยร่วมกัน เพราะ 13 ปีที่ผ่านมาเกิดความขัดแย้งขึ้นในประเทศ ที่ผ่านมาผบ.ทบ. รวมถึงตนเอง ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งในความขัดแย้งแต่วันนี้ถึงเวลาแล้ว ที่วันนี้เรามีแต่ความปรารถนาดีที่พร้อมจะปฏิรูปประเทศไปด้วยกัน และการบรรยายของท่านเมื่อวานนี้ทำให้ผมเห็นว่าเราควรมีการปฏิรูปกองทัพที่ชัดเจนเสียที สุดท้ายนี้ การบรรยายของผมในวันนี้ จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่มีการบรรยายของ ผบ.ทบ.เมื่อวานนี้ ผมต้องการสื่อสารไปยังประชาชน และ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ให้ยอมรับความเป็นจริง เดินหน้าปฏิรูปประเทศร่วมกันพร้อมกับทุกพรรคการเมือง นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง คนทุกรุ่นทุกวัย คนในชาติ สร้างชาติแห่งนี้ขึ้นมาด้วยประชาชน”