“ประยุทธ์” โดนไล่! นศ.ไทยในสหรัฐชูป้ายประท้วงกลางงานเสวนา

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ (หรือช่วงเช้ามืดของวันนี้) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้ก่อการรัฐประหารในนาม คสช.เมื่อปี 2557 ก่อนยึดอำนาจเป็นรัฐบาลจนได้เลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ได้เข้าร่วมขึ้นเวทีกับเอเชียสมาคมในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ระหว่างภารกิจร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ ครั้งที่ 74

รายงานระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นปาฐกถาแสดงความภูมิใจว่าในรัฐบาลที่แล้วที่ตนเข้ามายึดอำนาจเพื่อความสงบเรียบร้อยนั้น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งถูกแต่งตั้งโดย คสช.ของพล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกกฎหมายกว่า 400 ฉบับ ซึ่งมากกว่าสมัยรัฐบาลก่อนๆ

แต่ระหว่างนั้นเอง นัชชชา กองอุดม อดีตนักศึกษาไทยที่ร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารและรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.ของพล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะการชู 3 นิ้ว ก่อนการฉายหนัง เดอะฮังเกอร์ เกมส์ ภาคสุดท้าย กลางห้างหรูใจกลางเมือง ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาต่ออยู่ที่สหรัฐ ได้ขึ้นชูป้ายประท้วงพร้อมกับชูหน้ากาก “ยุทธนอคคิโอ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ฝ่ายต่อต้านเผด็จการทหาร ใช้เรียกพล.อ.ประยุทธ์ว่าเหมือนพิน็อคคิโอที่มีนิสัยชอบโกหก ก่อนถูกหน่วยกำลังอารักขาเชิญตัวออกไปออกจากห้องเสวนา

โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดในจังหวะนั้นว่า “Hello Thank You” “Thank You”. “Thank You Very Much” (สวัสดีครับ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณมากครับ)

https://www.facebook.com/bow.nuttaa/videos/pcb.10156771912620819/10156771880855819/?type=3&theater

ขณะที่ เว็บของทำเนียบรัฐบาลได้เผยแพร่เนื้อหาการขึ้นปาฐกถาของพล.อ.ประยุทธ์ว่า ประเทศไทยตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของบริบทโลก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของสังคมและสวัสดิภาพความกินดีอยู่ดีของประชาชน อาทิ ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ความท้าทายต่างๆเหล่านี้ ไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีเสถียรภาพ สันติภาพ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสังคมอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นภูมิภาคที่เชื่อมต่อและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ หรือที่ฝ่ายสหรัฐฯ ในปัจจุบันรวมเรียกว่า อินโด-แปซิฟิก ถือว่าเป็น “ภูมิภาคแห่งโอกาส” เนื่องจากมีประชากรรวมกันแล้วเกือบ 3 พันล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และเป็นศูนย์อุตสาหกรรมการผลิตหลากหลายสาขาที่สำคัญ ประเทศไทยจึงดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้าง “ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน” กับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศนอกภูมิภาคที่ร่วมความคิด (like-minded) และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวไทยเองเพื่อสามารถแสดงบทบาทนำดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงพัฒนาการในประเทศไทย ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้วางรากฐานด้านต่างๆ และยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปากท้องและการเอารัดเอาเปรียบในสังคม ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลปรับปรุงกฎระเบียบ และวิธีทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ นักธุรกิจและนักลงทุนเพิ่มขึ้น ด้านสังคม รัฐบาลประกาศให้การต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ และได้กำกับดูแลการจัดการปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ด้านการเมือง ปฏิบัติตาม Roadmap อย่างครบถ้วน ต่อจากนี้ ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายคือ จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้สูง ภายในปี 2579 มีความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน มีพัฒนาการทางสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียมในสิทธิพื้นฐาน เน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ตลอดจน เพิ่มพูนบทบาทเสริมสร้าง “ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน” กับนานาประเทศ โดยมีอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเป็นจุดตั้งต้น

การเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ ไม่เพียงเน้นการมองไปสู่อนาคต และเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียนให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อเป็นหลักให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือ และเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกับประเทศนอกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศคู่เจรจาต่างๆ ของอาเซียน ภายใต้แนวคิดหลักคือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) โดยการดำเนินการดังกล่าวต้องครอบคลุมในทุกมิติหรือ Sustainability of Things (SoTs)

อย่างไรก็ดี ไทยให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศสมาชิกซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญตามวิสัยทัศน์อาเซียน เพราะเชื่อว่าเมื่อประเทศต่างๆ มีระดับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ก็จะเกิดความเข้าใจกันและร่วมมือกันใกล้ชิดขึ้น นายกรัฐมนตรีให้คำมั่นว่าในช่วงเวลาการเป็นประธานอาเซียนที่เหลือของไทย จะเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน กับประเทศทั้งภายในและภายนอกอาเซียน และในปี 2565 ไทยจะรับหน้าที่ประธานการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคไทยยินดีเปิดรับความเห็นและข้อแนะนำจากมิตรประเทศเพื่อให้วาระประธานเอเปคของไทยเกิดประโยชน์ต่อประเทศสมาชิกและประชาคมระหว่างประเทศในวงกว้าง โดยในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีหวังว่าการกล่าวปาฐกถาครั้งนี้ จะเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความเข้าใจต่อพัฒนาการและบทบาทระหว่างประเทศของประเทศไทย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นหุ้นส่วนใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน

นอกจากนี้ นัชชชาและเพื่อนนักศึกษาไทย ก็ยังชูป้ายประท้วงและหน้ากากยุทธนอคคิโอหน้าทางเข้าอาคารของเอเชียสมาคม ระหว่างพล.อ.ประยุทธ์และคณะกำลังเดินทางด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เคยได้กล่าวต่อชุมชนไทยในเชิงตัดพ้อเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรี ไปไหนลำบาก มี รปภ.ติดตาม แต่หากจะให้ผมไปไหนคนเดียว ใครจะเสี่ยงกับผม ผมไม่ได้กลัวตาย แต่มันเสียศักดิ์ศรี

“หากอยู่ดีๆ มีใครมาตะโกนด่า เคาะหัว ชกหน้า มันก็ไม่ใช่ แต่ผมคิดว่า คงไม่มีใครทำร้ายผม มีแต่รอยยิ้ม ไม่ต้องกล้ว ถ้ายังมีรอยยิ้มแบบนี้ ก็คิดว่าคงอยู่ได้สักระยะหนึ่ง มีพวกเราทั้งในและต่างประเทศ ผมก็คิดว่าคนคงไม่ได้เกลียดผมมากมายนักหรอก”