ศาลรธน. รับคำร้องสอบสถานะ “สิระ” ใช้ตำแหน่งส.ส.ก้าวก่าย-แทรกแซงหน้าที่ขรก.

เมื่อวันที่ 18 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องกรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องของสมาชิกส.ส. 57 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของนายสิระ เจนจาคะ สมาชิกส.ส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (7) ประกอบมาตรา 185 (1) หรือไม่ โดยอ้างว่านายสิระ ใช้สถานะหรือตำแหน่งส.ส.กระทำการก้าวก่าย แทรกแซงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองในการปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คำร้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (5) จึงรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยและแจ้งให้ผู้ร้องทราบ พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง สำหรับการพิจารณากรณีให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องผู้ร้องไม่ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ประกอบกับยังไม่ปรากฎว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ในชั้นนี้ศาลรัฐธรรมนูญจึงยังไม่สั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุที่นายสิระถูกร้องดังกล่าวน่าจะมาจากการเมื่อกลางเดือนส.ค. นายสิระ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัย โครงการ “The Peaks Residence” ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ที่นายสิระอ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านและผู้ประกอบการบริเวณหาดกะตะน้อย จ.ภูเก็ต ว่า ไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเรื่องของการออกใบอนุญาตก่อสร้างและเรื่องของการออกโฉนดที่ดิน โดยศาลปกครองนครศรีธรรมราช มีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือรับรองประโยชน์ (น.ส.3ก.) และขณะนี้ลงพื้นที่ได้เกิดมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.กะรน เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ และตกเป็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีมติรับคำร้องกรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 ว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 วรรคหนึ่งหรือไม่ เนื่องจากพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่าพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 วรรคสอง จึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยและแจ้งให้ผู้ร้องทราบ