เผยแพร่ |
---|
เมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่รัฐสภา เกียกกาย มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดพิเศษ ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม การพิจารณาญัตติด่วน ขอเปิดอภิปรายทั่วไป กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามมาตรา 152 รัฐธรรมนูญ
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการและ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายว่า ความสำคัญของการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่นั้น ได้แก่ 1.การถวายสัตย์ของ ครม.เป็นเงื่อนไขบังคับก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งแล้ว จะรับหน้าที่ได้ต่อเมื่อมีการถวายสัตย์ การถวายสัตย์จึงเป็นแบบพิธีสำคัญ เป็นเงื่อนไขบังคับ ที่กำหนดแบบนี้เพราะจะได้มีเส้นแบ่งให้ชัดว่า ครม.ชุดที่แล้วจะสิ้นสุดการรักษาการลงเมื่อไหร่ และครม.ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่วันไหน 2.การถวายสัตย์คือการยืนยันหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ถ้อยคำ “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิญาณเพื่อยืนยันว่าผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ จะอยู่ภายใต้ เคารพ รักษา และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 3.การถวายสัตย์ของ ครม.เป็นการให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์และประชาชน โดยเหตุผลที่ต้องเขียนถ้อยคำถวายสัตย์ลงไป ก็เพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอเหมือนกัน อีกทั้งเพื่อทำให้ผู้ถวายสัตย์รู้ตัวล่วงหน้าว่าตัวเองจะให้คำสัตย์ว่าอะไร ถ้ารู้ว่าชีวิตนี้ท่านปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ ถ้ารู้อยู่แล้วว่าอีกไม่กี่เดือนท่านจะละเมิดหรือฉีกรัฐธรรมนูญอีก อย่ามาเป็นรัฐมนตรี จะได้ไม่ต้องถวายสัตย์
อย่างไรก็ตาม ขอให้ความเป็นธรรมกับ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อย้อนไปดู ครม.ประยุทธ์ 1 ท่านมีโอกาสนำรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น 5 ครั้ง ทุกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวนำถวายสัตย์ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญกำหนด โดย 4 ครั้งแรกกล่าวตามรัฐธรรมนูญ 2557 และครั้งที่ 5 กล่าวตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 161 นอกจากนั้น ยังสังเกตได้ว่าทุกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์อ่านถ้อยคำถวายสัตย์จากบัตรแข็งซึ่งเสียบไว้ในแฟ้มสีน้ำเงินที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เตรียมไว้ให้ แต่ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 กลับปรากฎว่านายกฯกล่าวถ้อยคำไม่ครบและไม่ได้มาจากเอกสารบัตรแข็งที่สลค.เตรียมไว้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ได้หยิบกระดาษแข็งขึ้นมาจากกระเป๋าด้านข้างของเสื้อ จึงไม่แน่ใจว่านายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้สะกิดเตือนนายกฯหรือไม่ว่าควรต้องกล่าวให้ครบ เพราะดีไม่ดีจะกลายเป็นเรื่อง ต้องเปิดเทปส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แล้วจะยุ่งกันใหญ่ ตามที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือหลังม่านการเมืองหน้า 50-51
เมื่อข้อเท็จจริงประจักษ์ชัดว่านายกฯกล่าวถวายสัตย์ไม่ครบ ผลทางกฎหมายจะเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีปัญหานี้ แต่ขณะนี้มีความเห็น 2 ทาง ทางหนึ่งยืนยันว่า ในเมื่อการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน ก็ทำให้การถวายสัตย์ไม่สมบูรณ์ เสมือนไม่มีการถวายสัตย์ เท่ากับ ครม.เข้ารับหน้าที่ไม่ได้ การใช้อำนาจต่างๆ จึงไม่มีผลในทางกฎหมาย ส่วนความเห็นอีกทางบอกว่า ครม.เข้ารับหน้าที่ได้ เพราะมีการถวายสัตย์เกิดขึ้นจริง เพียงแค่กล่าวไม่ครบ ครม.ต้องไปหาทางเยียวยาแก้ไขต่อไป แต่ไม่ว่าเราจะเห็นอย่างไร การปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังโดยไม่จัดการ จะส่งผลประหลาดในอนาคต เช่น หากนายกฯมีโอกาสนำรัฐมนตรีคนใหม่เข้าถวายสัตย์ฯอีกครั้ง นายกฯจะกล่าวไม่ครบหรือตัดเสริมเติมแต่งก็ได้อย่างนั้นหรือ
การถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนเป็นส่วนหนึ่งในอาการของโรคที่ผมให้ชื่อว่า “โรคไม่แยแสรัฐธรรมนูญ” สะท้อนให้ประชาชนเห็นว่านายกฯไม่ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กำหนดอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่างๆ การที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถวายสัตย์ไม่ครบ จึงเป็นธรรมดาที่จะทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่านายกฯจะเข้ารับหน้าที่โดยไม่รักษาไว้และไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของนายกฯที่ไม่ยึดมั่นรัฐธรรมนูญ ท่านมองรัฐธรรมนูญเป็นเพียงเครื่องมือในการปกครองตามระบอบของท่าน เรื่องใดก็ตามที่ท่านอ้างรัฐธรรมนูญแล้วได้ประโยชน์ ท่านอ้าง แต่หากรัฐธรรมนูญมาจำกัดอำนาจหรือตีกรอบท่าน ท่านก็ไม่อ้าง จริงอยู่ที่วันนี้ท่านเป็นนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งตามระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2560 แต่สังคมก็รับรู้ดีว่าก่อนหน้านั้นท่านเข้าสู่อำนาจด้วยการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่แยแสรัฐธรรมนูญ พฤติกรรมนี้ทำให้เห็นว่าท่านมองรัฐธรรมนูญเป็นเพียงแหล่งที่มาของอำนาจ อยากเตือนสติว่าท่านเป็นนายกฯคนใหม่ที่มาตามรัฐธรรมนูญ 2560 ดังนั้นต้องเคารพรัฐธรรมนูญ พฤติกรรมที่เคยชินเคยใช้ในอดีต ขอให้ยุติลง ในทางปรัชญาการเมืองมีตำแหน่งหนึ่งที่เรียกว่าองค์อธิปัตย์ ซึ่งท่านเคยเป็นมาแล้ว และบอกว่าตัวเองอยู่เหนือ 3 อำนาจ องค์อธิปัตย์คือคนที่บอกได้ว่าอะไรคือข้อยกเว้น ณ วันนี้ นายกฯและรองนายกฯมักมีเหตุผลอธิบายให้พวกท่านได้เป็นข้อยกเว้นของรัฐธรรมนูญเสมอ ในขณะที่คนอื่นต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ จนสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียเริ่มตั้งฉายาให้ท่านว่าเป็น “บิดาแห่งข้อยกเว้น”
การถวายสัตย์ไม่ครบยังเป็นอาการของอีกโรคคือโรคไม่รับผิดชอบ ขาดความเป็นผู้นำ เพราะภายหลังประเด็นนี้ถูกเปิดเผย พล.อ.ประยุทธ์ได้ออกมายอมรับ ขอโทษต่อ ครม. และประกาศขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งต้องถามว่ารับผิดชอบอย่างไร
สำหรับคำถามของตนต่อนายกฯคือ 1.นายกฯได้อ่านคำถวายสัตย์ที่เตรียมมาเองใช่หรือไม่ เหตุใดไม่อ่านจากกระดาษแข็งในแฟ้มสีน้ำเงินที่ สลค.เตรียมให้ 2.หากมีรัฐมนตรีคนหนึ่งลาออก ท่านตั้งคนใหม่มาเป็นรัฐมนตรีแทน ท่านจะนำถวายสัตย์ปฏิญาณอย่างไร 3.ขอถามนายกฯและนายวิษณุ ว่าหากนายกฯคนต่อไป มีโอกาสเข้าเฝ้าฯแล้วกล่าวถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน ท่านเห็นว่าสามารถทำได้หรือไม่ และ 4.ขอถามนายวิษณุ ที่ทำงานในทำเนียบรัฐบาลเกือบ 2 ทศวรรษ ท่านเคยเห็นนายกฯคนใดทำแบบ พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่
ส่วนทางออกเรื่องนี้นั้น ขอเสนอให้นายกฯขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถวายสัตย์ใหม่อีกครั้งให้ครบถ้วน ส่วนการกระทำต่างๆ ที่ได้ทำไปแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีมติ ครม.อีกครั้งเพื่อชุบชีวิตรับรองมันให้สมบูรณ์ทั้งหมด นอกจากนั้น ขอเรียกร้องให้นายวิษณุ กลับมาเป็นนายวิษณุคนเดิม ยุติการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่นายกฯ ออกจากเรือแป๊ะมาอยู่ในเรือยุติธรรม อย่างไรก็ตาม จากข้อเท็จจริงในวันที่ 16 กรกฎาคม แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จงใจละเมิดรัฐธรรมนูญ ท่านได้ทำลายความเชื่อถือของประชาชนลงไปหมดสิ้น ผมไม่ต้องการทั้ง พล.อ.ประยุทธ์คนเก่าและคนใหม่ ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อไป เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ