นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการค้าภายในอยู่ระหว่างการแยกโรงพยาบาลเอกชน 354 แห่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มโรงพยาบาลที่คิดค่ายาและค่าบริการแบบแพงสุดโต่ง 2.กลุ่มที่คิดราคายาและค่ารักษาระดับกลาง และ3.กลุ่มโรงพยาบาลคิดราคายาและค่าบริการแบบอนุเคราะห์ผู้ป่วย เพื่อนำไปเผยแพร่จากเว็บไซต์กรมการค้าภายในให้ประชาชนได้รับทราบและพิจารณาในการเข้าไปใช้บริการว่าโรงพยาบาลเอกชนในบริเวณใดที่มีการคิดค่ารักษาพยาบาลเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ คาดว่าจะพิจารณาแบ่งกลุ่มได้เสร็จภายในกลางเดือนต.ค. นี้ หลังจากที่กรมการค้าภายในมีข้อมูลเกี่ยวกับของราคายาของโรงพยาบาลเอกชนเกือบทั้งหมดแล้ว

โดยต้องยอมรับว่าประชาชนให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของราคายาและค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนอย่างมาก เพื่อเปรียบเทียบราคาระหว่างโรงพยาบาลก่อนพิจารณาเข้าไปใช้บริการล่าสุดมีประชาชนเข้าไปตรวจสอบราคาผ่านเว็บไซต์ของกรมการค้าภายในแล้ว 1.2-1.3 แสนรายนับตั้งแต่ที่มีการเปิดตัวคิวอาร์โค้ดในการเช็กราคายาเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา

ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบเรื่องของราคาได้ง่ายขึ้นขึ้นทางกรมฯก็จะแบ่งกลุ่มโรงพยาบาล 3 กลุ่มเกี่ยวกับเรื่องของค่ารักษาพยาบาลและค่ายาเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาตัดสินใจ

สำหรับความคืบหน้ากรณีโรงพยาบาล 48 แห่ง ที่ยังไม่จัดส่งข้อมูลราคาซื้อหรือขายยา ตามมติคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ล่าสุดทางกรมเรียกโรงพยาบาลมาชี้แจงเหตุผลทุกวัน วันละ 4-5 ราย และจะเร่งให้ได้ข้อสรุป 1-2 สัปดาห์ หาก โรงพยาบาลใดฝ่าฝืนจะดำเนินการกฎหมายซึ่งมีโทษทั้งจำทั้งปรับ

นายประโยชน์ กล่าวว่า สำหรับการร้องเรียนค่ารักษาพยาบาลแพง ผ่านศูนย์รับแจ้งความคดียา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคนั้นล่าสุดมีผู้ร้องเรียนรวมกันประมาณ 30 ราย จำนวนนี้เป็นการร้องเรียนในส่วนกลาง 20 ราย เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล โดยเรื่องที่มีการร้องเรียนมากที่สุดคือ ค่ารักษาพยาบาลมีราคาแพง มีการเก็บซ้ำซ้อน และรักษาเกินความจำเป็น ซึ่งกรมการค้าภายในจะเร่งสืบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดต่อไป