ชูวิทย์ นับโทษ ‘บุญทรง’คุก 48ปี อาจติดจริงถึง 13ปี ยกเตือนสติ อย่าใช้อำนาจตามอำเภอใจ

‘ชูวิทย์’ นับโทษ ‘บุญทรง’ คุก 48ปี อาจติดจริงถึง 13ปี นี่คือความรู้สึกสิ้นเสียงคำพิพากษา จะปลงอย่างไรก็ปลงไม่ตก ยกเตือนสตินักการเมือง อย่าใช้อำนาจตามอำเภอใจ 

กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แก้คำพิพากษาเพิ่มโทษจำคุกนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ อีกกระทงหนึ่งเป็นเวลา 6 ปี ในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ รวมโทษจำคุกนายบุญทรง จากโทษเดิม 42 ปี เป็นจำคุกทั้งสิ้น 48 ปี

อ่านต่อ : อุทธรณ์จีทูจี พิพากษาแก้เพิ่มโทษจำคุก ‘บุญทรง’ อีก 6 ปี รวมจำคุก 48 ปี

ล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อเขียน “พลาดก้าวเดียว คุก 48 ปี” ผ่านเฟสบุ๊กว่า

“ก้าวแรกที่พี่บุญทรงลงจากรถไปฟังคำพิพากษา ไม่มีใครทราบเลยว่าศาลท่านจะตัดสินอย่างไร

แล้วไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไร ที่ผมมักต้องมาเจอคนรู้จักในคุก

ครั้งล่าสุดที่ผมเข้าคุกก็เจอพี่บุญทรง ทักทายกัน แกบอกผมว่าทำเรื่องอุทธรณ์อยู่

พี่บุญทรงที่ผมเจอในสภา กับที่เจอในคุกเหมือนเป็นคนละคนกัน

ปัจจุบันแกอายุ 59 ปี วันนี้ศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษอีก 6 ปี รวมของเก่าเบ็ดเสร็จ 48 ปี

สูตรอดีตคนคุกอย่างผม คุก 48 ปี ต้องติดอย่างน้อย 1 ใน 3 คือ 16 ปี นี่หมายถึงกรณีที่มีพระราชทานอภัยโทษด้วย ซึ่งปกติหากยิ่งติดคุกยาว ยิ่งมีโอกาสผ่านช่วงพระราชทานอภัยโทษมากขึ้น

ยกตัวอย่าง คนถูกศาลสั่งจำคุก 1 ปี ถึง 2 ปี เป็นระยะสั้น ก็อาจจะไม่มีพระราชทานอภัยโทษในช่วงนั้น แต่หากคนติด 5 ปี ถึง 10 ปีขึ้นไป ก็มีโอกาสที่จะมีพระราชทานอภัยโทษระหว่างติดมากขึ้น คนติดคุกจึงเฝ้ารอวโรกาสพิเศษนี้กันทุกคน

ในอีก 11 ปีข้างหน้า พี่บุญทรงจะอายุครบ 70 ปี ก็อาจจะมีโอกาสเข้าเกณฑ์ “พักโทษคนแก่”

ในช่วงนาทีนี้ ผู้ที่เจ็บปวดไม่ใช่แค่พี่บุญทรงเท่านั้น แต่รวมไปถึงครอบครัวที่ต้องร่วมเจ็บปวดไปด้วย

จะไม่มีใครเข้าใจหัวอกคนที่ตั้งความหวังไว้กับอิสรภาพ แล้วมันหายวับไปกับตาทันทีที่สิ้นคำพิพากษา ต่อให้ใจแข็งปานใดก็ทำใจไม่ได้ ถึงจะปลงอย่างไรก็ปลงไม่ตก

เวลาเท่านั้นที่จะเยียวยาสมานแผลความเจ็บปวดนี้

ผมจึงขออนุญาตเตือนนักการเมืองที่กำลังกระดี๊กระด๊า มีบารมีสูงส่ง บุญท่วมหัว ได้เป็นรัฐมนตรี ให้ท่านหันกลับมามองพี่บุญทรงเป็นบทเรียน อย่าคิดว่ามีอำนาจวาสนาแล้วจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน

เพราะวันที่พลาด เราก้าวเข้าคุกเพียงคนเดียว ไม่มีใครเลยสักคนที่จะช่วยเราได้

และโดยประสบการณ์อย่างผม ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากยังเชื่อว่า

พี่บุญทรงจะไม่ใช่รัฐมนตรีคนสุดท้ายที่เข้าคุก”