กรมเจรจาฯรับลูก”จุรินทร์-วีรศักดิ์”เร่งเครื่องปิดดีลงานเจรจาค้างท่อภายในปี62

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากกรมได้รับนโยบายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรมจึงกำหนดแผนงานสำหรับครึ่งปี 2562 โดยมีประเด็นเร่งด่วนต้องดำเนินการ ได้แก่ 1. เร่งหาข้อสรุปการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค( RCEP) ให้ได้ในปี 2562 ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย จะเป็นประธานการประชุมระดับรัฐมนตรีอาร์เซ็ป จัดระหว่าง 7-8 กันยายน 2562 ที่กรุงเทพฯ เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้สมาชิกอาร์เซ็ปทั้ง 16 ประเทศ สามารถหาข้อสรุปในประเด็นที่ยังมีความเห็นและท่าทีที่ต่างกัน เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กลไกการระงับข้อพิพาท  การลงทุน การเคลื่อนย้ายบุคคล เป็นต้น

นางอรมน กล่าวว่า  2. สานต่อการเจรจาความตกลงเอฟทีเอที่ค้างอยู่ให้คืบหน้า ซึ่งไทยมีกำหนดประชุมกับปากีสถานรอบต่อไปในเดือนตุลาคมนี้ และหารือกับตุรกีเดือนธันวาคม 2562 ส่วนศรีลังกาอยู่ระหว่างรอส่งสัญญาณความพร้อม หลังการปรับคณะเจรจาของศรีลังกา 3. เตรียมฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู โดยคาดว่าผลการศึกษาและการรวบรวมความเห็นของภาคส่วนต่างๆ ของไทยจะเสร็จในปลายเดือนตุลาคมนี้ หลังจากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและคณะรัฐมนตรีพิจารณา

นางอรมน กล่าวว่า 4. การหาข้อสรุปเรื่อง CPTPP เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ได้จ้างศึกษาประโยชน์และผลกระทบต่อไทยในการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) รวมทั้งได้จัดหารือเพื่อระดมความเห็นผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนทั่วประเทศ ซึ่งกรมฯ จะนำสรุปผลการศึกษา และผลการระดมความเห็นเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป และ 5. การเจรจาเอฟทีเอกับสหราชอาณาจักร ภายหลังเบร็กซิท (Brexit) ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างหารือกับสหราชอาณาจักรเรื่องการจัดทำข้อมูลนโยบายการค้า และศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) ที่จะทำเอฟทีเอระหว่างกัน

“กรมเล็งเห็นว่าความคืบหน้าในเรื่องเหล่านี้ จะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเปิดตลาดและขยายส่วนแบ่งการค้าของไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญวิกฤติและความท้าทายจากการที่หลายประเทศมีการใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างกัน” นางอรมน กล่าว

นางอรมน กล่าว กรมยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมให้เกษตรกร และผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการเจรจาได้สูงสุด รวมถึงรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น  กรมจึงเดินหน้าจับมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สภาเกษตรกรแห่งชาติ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ เป็นต้น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความตกลงเอฟทีเอ ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ ผลกระทบ และการปรับตัวของไทยต่อไป โดยจะลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และเน้นสินค้าในพื้นที่ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญของไทย เช่น ข้าว ยาง มันสำปะหลัง ผัก ผลไม้ โคนม โคเนื้อ และอาหารแปรรูปต่างๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในปี 2561 การค้าไทยและกับประเทศคู่เจรจาFTA 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ มีมูลค่ากว่า 300 พันล้านเหรียญสหรัฐ  ขยายตัวจากปีก่อนหน้ากว่าร้อยละ 11 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 (หรือ 2 ใน 3) ของการค้าไทยกับโลก ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. 2562 มีมูลค่าการค้ากับ 18 ประเทศเอฟทีเอ 202.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออก 88.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้า 87.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้า เช่น น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็ก และเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น