“จุลพันธ์” เชื่อทุกพรรคร่วมแก้รธน. ท้า “ประยุทธ์” ตอบข้อสงสัยประชาชน อย่าหนีสภา

วันที่ 30 กันยายน 2562 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ทางพรรคร่วมฝ่ายค้าน เห็นควรหากกำหนดให้มีการอภิปราย ในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562 เป็นวันที่เหมาะสม เพราะไม่กระทบการประชุมสภาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และในการอภิปรายหากยังมีเนื้อหาที่เป็นสาระยังไม่ได้อภิปราย ก็สามารถขยายเวลาออกไปได้ ไม่น่าจะมากำหนดว่าจะต้องอภิปรายกี่วัน

เพราะญัตติดังกล่าวเป็นญัตติที่ประชาชนให้ความสนใจ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทำถูกต้องหรือไม่และจะมีผลกระทบกับการบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่ เป็นตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ ควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และควรมาตอบคำถามในสภา เพราะสมาชิกสภาล้วนเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย คนไทยทั้งประเทศมีสิทธิ์ที่จะทราบผ่านผู้แทนของประชาชน

นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 นั้น ทางพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้มีการเสนอญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการ วิสามัญศึกษากระบวนการ และวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 มีความผิดพลาด และบกพร่องหลายประการ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงเห็นพ้องกันว่าต้องมีการแก้ไขในหลายมาตรา แต่เนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 ทาง 7 พรรคร่วมจะไม่แตะต้อง เพราะมีถ้อยคำ และเนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว

นอกจากนี้กรณีต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมี กระแสจากทุกภาคส่วนของสังคม เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องเอาเสียงสะท้อนของประชาชนมาทำงานในสภา โดยเริ่มจากการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาฯก่อน หวังว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย เพื่อแสวงหาฉันทามติร่วมกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้เพราะว่าฝ่ายรัฐบาลทราบแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดินมากน้อยแค่ไหน แม้พรรคการเมืองบางพรรคที่ประกาศว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นมาเพื่อพรรคนั้น ก็พบปัญหาแล้ว รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ก็ประกาศเมื่อเข้าร่วมรัฐบาลไว้ว่าจะว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นแนวทางที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอจึงเป็นแนวทางที่ทุกพรรคควรมาร่วมกัน เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน