“โจโควี” ฟิตจัด ใช้สมัย 2 ผลักดัน “อินโดนีเซีย” ดาวรุ่งการลงทุน

“อินโดนีเซีย” กำลังกลายเป็นที่จับตาของนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง นับตั้งแต่ “โจโก วิโดโด” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียสมัยที่ 2 ได้รับการชื่นชมว่ามีวิสัยทัศน์และแผนงานปฏิบัติที่น่าสนใจ ทั้งมีการแก้ปัญหาได้ดี

จาการ์ตาโพสต์รายงานว่า หลังชนะการเลือกตั้งเมื่อ 17 เม.ย. นายโจโก วิโดโด (โจโกวี) เริ่มแสดงผลงานอย่างรวดเร็ว โดยวันที่ 30 เม.ย. รัฐบาลประกาศแผนย้าย “เมืองหลวง” แห่งใหม่ครั้งแรกแทน “จาการ์ตา” และวันที่ 8 ส.ค. โจโกวี ทวีตข้อความว่า “ตัดสินใจจะย้ายเมืองหลวงไปที่ “เกาะกาลิมันตัน”  ซึ่งเป็นได้ทั้งกาลิมันตันกลาง, กาลิมันตันตะวันออก, กาลิมันตันใต้”

ประธานาธิบดีอินโดนีเซียให้สัมภาษณ์ “จาการ์ตาโกลบ” ว่า เกาะกาลิมันตันเป็นเพียงไม่กี่เกาะในอินโดนีเซียที่แทบไม่เผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดังนั้นเราพยายามจะต่อเติมและก่อสร้างสถานที่อาคารต่าง ๆ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว และยึดหลัก 4 คำ คือ “ฉลาด, เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, สวยงาม และยั่งยืน”

พร้อมระบุว่า “แคนเบอร์รา” เมืองหลวงของออสเตรเลียคือ โมเดลในการสร้างเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย ถึงดูไม่คึกคักเท่ากับเมืองเศรษฐกิจอื่น แต่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือ “ต้องเป็นสมาร์ทซิตี้”

ผู้นำโจโกวีย้ำว่า แผนการและผลการศึกษาทั้งหมดต้องเสร็จสิ้นในปี 2020 และเริ่มทำการก่อสร้างในปี 2021 ส่วนปี 2024 ต้องพร้อมย้ายหน่วยงานราชการไปเมืองหลวงแห่งใหม่ในขั้นตอนแรก

นายบัมบัง บรอดโจเนโกโร รัฐมนตรีการวางแผนการพัฒนาชาติ กล่าวว่า ประธานาธิบดีีเรียกประชุมและจัดตั้งงบฯบางส่วนทันที โดยงบมูลค่า 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จากทั้งหมด 33,000-44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับการพัฒนาและขยายท่าอากาศยาน ท่าเรือ ถนน และระบบสาธารณสุขอื่น ๆ ในเกาะกาลิมันตัน

“พื้นที่กว่า 40% ในจาการ์ตาอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล มีปัญหาดินทรุดตัว และภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นเฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง จาการ์ตายังติดท็อป 5 เมืองที่มีการจราจรติดขัดที่สุดในโลก ซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจเฉลี่ยราว 70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ”

“จอห์น แมคคาร์ธี” ผู้เชี่ยวชาญอินโดนีเซียศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กล่าวว่า การดำเนินนโยบายในสมัยที่ 2 ของผู้นำน่าสนใจและโดดเด่น จากเดิมที่อินโดนีเซียมีความได้เปรียบในแง่ของจำนวนประชากร ตอนนี้ความรวดเร็วในการทำงานสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ

ทั้งกล่าวถึงแผนของอินโดนีเซียที่ประกาศจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน “Formula E” ในปี 2020 ถือเป็นประเทศแรก ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ว่า หากจาการ์ตาประสบความสำเร็จ ภาพลักษณ์ใหม่ของอินโดนีเซียจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านอื่น ๆ ตามมา และเพิ่มบทบาทในเวทีระดับโลก

“อานิส บาสวีดัน” ผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตา ยืนยันว่า แผนการจัดเตรียมการแข่งขันนี้เสนอต่อรัฐบาลแล้ว คาดว่าจะใช้งบประมาณ 24.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเดือน ก.ค. ทีมงาน Formula E เดินทางมาตรวจสอบความพร้อมของสนาม โดยคาดว่าการแข่งขันรายการนี้จะสร้างรายได้ต่อจาการ์ตามากถึง 87.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การทำงานของรัฐบาลโจโกวีได้รับการชื่นชมมากขึ้น เช่น หอการค้าอเมริกันในอินโดนีเซียชี้ว่าการย้ายเมืองหลวงจะเปิดโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ ขณะที่เจโทร-จาการ์ตาระบุว่า อินโดนีเซียได้รับความสนใจจากนักลงทุนญี่ปุ่น มองว่ารัฐบาลแก้ปัญหารวดเร็วและเอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น