นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยว่า หลังจากสิ้นสุดวันที่กรมสรรพาอนุญาตให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียื่นแสดงรายการบัญชีที่ถูกต้องต่อกรมสรรพากรเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ายื่นแบบแสดงรายการบัญชีเดียวต่อกรมสรรพากรจำนวนมากถึง 8 หมื่นราย กรมพร้อมที่จะสนับสนุนในเรื่องการอำนวยความสะดวกต่างๆให้ดียิ่งขึ้น เพราะถือว่าให้ความร่วมมือที่ดีกับกรม ส่วนในรายที่ยังไม่ยอมที่เข้ามายื่นแสดงบัญชีเดียวต่อกรมสรรพากรนั้นจะถูกเข้มงวดในการตรวจสอบให้มากขึ้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ยังมีอยู่อีกจำนวนมาก

นายเอกนิติกล่าวต่อว่า หลังผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ามายื่นแบบแสดงรายการบัญชีเดียวต่อกรมสรรพากร ทำให้กรมสามารถประเมินภาษีได้เข้ามาอีก 3 พันล้านบาท เนื่องจากไม่ได้ยกเว้นภาษีแก่ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวแต่ยกเว้นเบี้ยปรับเงินเพิ่มให้สำหรับภาษีที่ค้างชำระเท่านั้น ซึ่งจากยอดการชำระภาษีจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีดังกล่าว ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ภาพรวมของกรมสรรพาอยู่ในระดับเกินกว่าเป้าหมาย โดยระยะ 9 เดือนของปีงบประมาณ 2562 กรมฯจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ถือว่า สูงสุดในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

นายเอกนิติกล่าวต่อว่า การจัดเก็บรายได้ที่ผ่านมาการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นรายการจัดเก็บที่เกินเป้าหมายมากที่สุด รองลงมา เป็นภาษีปิโตเลียม ส่วนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งการจัดเก็บรายได้ที่เกินเป้าหมายในภาพรวมนั้น เป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บที่กรมฯได้นำระบบไอทีเข้ามาช่วยเรื่องฐานข้อมูลทำให้จัดเก็บได้ดียิ่งขึ้น

นายเอกนิติกล่าวว่า ส่วนร่างกฎหมายเก็บภาษีจากธุรกิจออไลน์(อีบิซิเนส)ขณะนี้ ทางกฤษฎีกาได้ส่งร่างเดิมกลับมายังกรมแล้ว ซึ่งจะยืนยันร่างเดิมกลับไปให้กฤษฎีกาได้พิจารณาใหม่ โดยไม่มีปรับปรุงแต่อย่างใด ทั้งนี้ คาดว่า ร่างกฎหมายดังกล่าว จะผ่านการพิจารณาในชั้นกฤษฎีกาและสภาผู้แทนราษฎรจนมีผลบังคับใช้ เนื่องจากเป็นร่างกฎหมายที่จะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีระหว่างผู้ประกอบการในประเทศกับต่างประเทศได้มากขึ้น กฎหมายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งเพิ่มรายได้ให้กับกรม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดเก็บรายได้สูงสุดหรือเกือบ 80% ของรายได้รัฐบาล ทั้งนี้กฎหมายอีบิซิเนสจะได้รับการผลักดันและมีผลบังคับใช้ในรัฐบาลชุดนี้