“สุริยะ”เล็งของบกลาง63ช่วยชาวไร่ได้ค่าอ้อยถึง1,000บ./ตัน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลที่มีผลการดำเนินงานดีเด่น ประจำปี 2562 ว่า ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) ไปศึกษาแนวทางที่จะดูแลราคาอ้อย ให้สอดคล้องกับทิศทางตลาดโลกจากปัจจุบันชาวไร่เรียกร้องราคาอ้อยขั้นต้นอยู่ที่ 1,000 บาทต่อตัน โดยจะใช้งบประมาณกลาง ปี 2563 มาช่วย แต่ยังไม่ได้กำหนดวงเงิน โดยในปีงบประระมาณ 62 มีการขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น จำนวน 6,500 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะใช้วงเงินเท่ากันหรือเปล่า

“ได้ย้ำชัดเจนว่าแนวทางช่วยเหลือต้องไม่ขัดต่อหลักเกณฑ์องค์การการการค้าโลก(ดับเบิลยูทีโอ) และต้องต่อยอดอ้อยไปสู่อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพด้วย เบื้องต้นคาดว่าภายในเดือนตุลาคมนี้หลักการจะแล้วเสร็จ ใกล้เคียงกับการปรับพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย ฉบับใหม่” นายสุริยะกล่าว

นายสุริยะ กล่าวถึงกรณีที่มีการยื่นหนังสือถึงประธานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อสอบกรณีที่อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.) ไปตีกอล์ฟในเวลาราชการ ว่า ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ต้องขอเวลาและมีการเรียกคุยเพื่อชี้แจง ตอนนี้ยังไม่ทราบรายละเอียด ไม่มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว

นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการ สนอ.กล่าวว่า มาตรการดูแลชาวไร่ต้องหารือกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง เพื่อจัดหามาตรการช่วยเหลือที่ไม่ผิดต่อหลักเกณฑ์ของดับบลิวทีโอ แต่ยอมรับว่า ราคาปัจจุบันต่ำกว่า 800-900 บาทต่อตัน เพราะหากคิดราคาจากน้ำตาลทรายในตลาดโลกเฉลี่ย อยู่ที่ 13 เซนต์ต่อปอนด์ จะทำให้ราคาอ้อยในประเทศเฉลี่ยจะอยู่ที่ 700 บาทต่อตัน ขณะนี้จึงหวังว่าช่วงครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยทำให้ราคาน้ำตาลโลกเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 14 เซนต์ต่อปอนด์เพราะปัญหาภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย และหากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีกลไกดูแลค่าเงินบาทที่ดีจะทำให้เป็นผลดีต่อสินค้าเกษตรภายในประเทศ นอกเหนือจากอ้อย เพราะฤดูการผลิต 2561/62 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ขณะนี้แข็งค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30.8 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มีผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกโดยตรง

นางวรวรรณ กล่าวว่า สำหรับพิธีมอบรางวัลชาวไร่อ้อยดีเด่นและโรงงานน้ำตาลดีเด่น ประจำปี 2562 เป็นเสมือนการยืนยันถึงความรู้ ความสามารถและความวิริยะอุตสาหะในการพัฒนาตนเอง และการประกอบธุรกิจ เพื่อสรรสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยอย่างแท้จริง และแสดงให้เห็นถึงการส่งเสริมสนับสนุนของภาครัฐ เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีการร่วมมือร่วมใจ ในการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมนี้ให้มีความเข้มแข็งและเจริญก้าวหน้าต่อไป