5 องค์กรทนายสิทธิฯ ตั้งปมกุมตัว 2 ผู้ต้องสงสัยบึ้มกทม.หวั่นบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม จี้ สตช.ไขข้อสงสัย

เมื่อวานนี้ (7 สิงหาคม 2562) 5 องค์กรเครือข่ายทนายความสิทธิมนุษยชนประกอบด้วย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ได้ออกแถลงการณ์ตั้งข้อสังเกตกฎหมาย ต่อการจับกุมควบคุมตัว 2 ผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดในเขตกรุงเทพมหานครในหลายจุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

โดยเนื้อหาแถลงระบุว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 – 2 สิงหาคม 2562 ได้เกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณสถานที่ราชการและพื้นที่สาธารณะอย่างน้อย 7 จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยในวันที่ 2 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมและควบคุมตัวชายมุสลิมเชื้อสายมลายู 2 คน คือ นายลุกไอ แซแง (อายุ 23 ปี) และ นายวิลดัน มาหะ (อายุ 29 ปี) ได้ในจังหวัดชุมพร ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินทางกลับภูมิลำเนาในจังหวัดนราธิวาส โดยตั้งแต่วันที่ 2 – 4 สิงหาคม 2562 ญาติและทนายความไม่ทราบสถานที่ควบคุมตัวที่แน่ชัดและไม่สามารถเข้าพบบุคคลทั้งสอง จนกระทั่งวันที่ 5 สิงหาคม ญาติทราบว่าผู้ต้องสงสัยอาจถูกควบคุมตัวที่ศูนย์พิทักษ์สันติ ศปก.ตร.ส่วนหน้า อ.เมือง จ.ยะลา จึงได้เข้าพบนายลุกไอ ในขณะที่รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจงว่า การจับกุมและควบคุมตัวบุคคลทั้งสองอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และคาดหมายว่าจะควบคุมตัวทั้งสองคนจนถึงวันที่ 8สิงหาคม 2562

นอกจากนี้ ระหว่างที่บุคคลทั้งสองถูกควบคุมตัว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนยังได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า กลุ่มบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ยังเข้าควบคุมตัวและนำตัวญาติของนายลุกไอไปสอบถามข้อมูลโดยไม่ยอมเปิดเผยชื่อ สังกัด และสถานที่ในการควบคุมตัวอีกด้วย ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและองค์กรตามรายชื่อข้างท้ายจึงมีข้อสังเกตถึงการอ้างและใช้อำนาจตามกฎหมายในการควบคุมตัวนายลุกไอ แซแง และนายวิลดัน มาหะ ดังนี้

  1. การปกปิดชะตากรรมผู้ต้องสงสัยใน 3 วันแรก

ช่วงระยะเวลาอย่างน้อย 3 วัน (ระหว่างวันที่ 2 – 4 สิงหาคม 2562) ที่นายลุกไอ แซแง และนายวิลดัน มาหะ ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวหรือหน่วยงานรัฐใดให้ข้อมูลแก่ญาติหรือทนายความถึงเหตุในการจับกุม และอำนาจที่ใช้ในการควบคุมตัว อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐยังให้ข้อมูลไม่ตรงกันถึงสถานที่ที่ใช้ในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งสอง อันถือได้ว่าเป็นการปกปิดข้อมูลหรือชะตากรรมของผู้ถูกควบคุมตัวในระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งหากเป็นการจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในมาตรา 87 กำหนดให้ควบคุมตัวบุคคลผู้ถูกจับไว้ไม่เกิน 48ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ผู้ถูกจับถูกนำตัวไปถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน และผู้ถูกจับต้องได้รับแจ้งสิทธิในการแจ้งให้ญาติหรือทนายความรับรู้ถึงการจับกุมดังกล่าว

  1. อำนาจในการควบคุมตัวบุคคลตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2562 ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ) ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งสองคน โดยปัจจุบันทั้งสองถูกควบคุมอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า อ.เมือง จ.ยะลา ทั้งนี้ ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวบุคคลไว้ในสถานที่อื่นซึ่งมิใช่สถานที่คุมขังได้ไม่เกิน 7 วัน โดยได้รับอนุญาตจากศาล และสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อขอขยายระยะเวลาในการควบคุมตัวต่อได้อีกคราวละ 7วัน รวมแล้วไม่เกิน 30 วัน

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและองค์กรตามรายชื่อข้างท้ายมีข้อสังเกตว่า เหตุที่ใช้ในการควบคุมตัวบุคคลทั้งสองคือเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่เหตุที่เกิดภายในพื้นที่จังหวัดยะลาซึ่งเป็นพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่จะมีอำนาจควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็ต่อเมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามมาตรา 11 วรรคสองก่อน การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งสองจากจังหวัดชุมพร และนำมาควบคุมตัวต่อที่จังหวัดยะลา  โดยอ้างว่าอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จึงไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งต้องมีประกาศใช้เฉพาะบางพื้นที่และต้องมีการทบทวนการประกาศใช้ทุกสามเดือน

หากเหตุในการกระทำความผิดเกิดนอกพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่เจ้าหน้าที่นำตัวบุคคลผู้ต้องสงสัยไปควบคุมตัวในพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อขยายระยะเวลาในการควบคุมตัว ย่อมเป็นการใช้อำนาจอย่างบิดเบือนและก่อให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม

  1.  การควบคุมตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

การควบคุมตัวญาติของนายลุกไอในวันที่ 4 สิงหาคม ไปจากที่ทำงานย่านสุขุมวิทเพื่อสอบถามข้อมูล โดยกลุ่มบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่แต่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อ สังกัด และสถานที่ในการควบคุมตัว ไม่มีหมายเรียกหรือหมายจับ รวมถึงการบังคับให้ลงชื่อในเอกสารเพื่อแลกกับการปล่อยตัวนั้น เป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบ และกระทำไปโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย (อ่านรายละเอียดในการควบคุมตัวใน: นอกเครื่องแบบคุมตัวน้าสาวของหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าวางสิ่งคล้ายระเบิด หน้า สตช.)

ทั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและองค์กรตามรายชื่อข้างท้ายกังวลถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความกดดันในการค้นหาตัวผู้กระทำความผิด อย่างไรก็ตาม การสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมายนั้นต้องเป็นไปตามบรรทัดฐานทางกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายอย่างบิดเบือน ปราศจากฐานอำนาจทางกฎหมายที่ถูกต้อง ย่อมส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อันอาจก่อความเสียหายมากยิ่งขึ้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงขอเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจงข้อสงสัยและดำเนินการดังต่อไปนี้

  1. ขอให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำความผิดจากเหตุระเบิดในกรุงเทพมหานครอย่างเร่งด่วน โดยใช้กระบวนการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
  2. ยุติการนำตัวผู้ต้องสงสัยจากเหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร ไปควบคุมตัวในพื้นที่จังหวัดยะลาโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการณ์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และให้ใช้กลไกตามกฎหมายปกติในการสอบสวนและดำเนินคดี
  3. ขอให้ดำเนินการสอบสวนหาบุคคลซึ่งอ้างเป็นเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวญาติผู้ต้องสงสัยไปสอบถามข้อมูลโดยไม่มีการแสดงตัว ไม่เปิดเผยสังกัด และสถานที่ และบังคับให้ลงชื่อในบันทึกการสอบถาม