“วิญญัติ” ติง ป.ป.ช. เหตุใด ไม่รับหนังสือมอบอำนาจของ “ยิ่งลักษณ์”

“วิญญัติ” ติง ป.ป.ช. เหตุใด ไม่รับหนังสือมอบอำนาจของ “ยิ่งลักษณ์” ชี้ ถือว่าอาจเข้าข่ายเป็นการใช้ดุลพินิจในทางเป็นผลร้าย-ตัดสิทธิ์ในกระบวนการต่อสู้หรือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหา

เมื่วันที่ 22 กรกฎาคม นายวิญญัติ ชาติมนตรี ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้รับบันทึกข้อกล่าวหาแทน กรณีกล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก รวม 34 คน ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาและปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย กรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (ส.ม.ช.) โดยมิชอบ โดยมีน.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนในฐานะตัวแทนตามหนังสือมอบอำนาจตามสิทธิของอดีตนายกรัฐมนตรีพึงมี เพื่อให้รับทราบข้อกล่าวหาแทน แต่มีอนุกรรมการที่ทำหน้าที่วันนี้ให้ความเห็นว่า ตนไม่สามารถรับบันทึกข้อกล่าวหาโดยใช้หนังสือมอบอำนาจที่มีลักษณะทั่วไป เนื่องจากไม่ระบุเรื่องหรือคดีใดและไม่สามารถมอบอำนาจล่วงหน้าได้ โดยตนก็ได้ขอชี้แจงว่าการมอบอำนาจนี้ใช้ในคดีต่อศาลแพ่ง ศาลปกครองและองค์กรอื่นๆมาแล้ว ประกอบกับผู้มอบอำนาจคำนึงว่ามีเรื่องกล่าวหาหลายเรื่องเกิดขึ้น ตั้งแต่ ปี 2556 การมอบอำนาจครั้งนี้ไว้ให้กระทำต่อ ป.ป.ช. รวมถึงอนุกรรมการไต่สวน จึงเป็นเรื่องที่ชัดเจนและสามารถทำได้ ตามข้อ 2 ใจความสำคัญว่า “ให้ มีอำนาจชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการป.ป.ช. คณะอนุกรรมการไต่สวน ตลอดจนในกรณีที่บุคคลใดได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินคดีกับข้าพเจ้าไม่ว่าจะเป็นข้อหาใดๆ หรือตามกฏหมายใดๆ โดยในการนี้ให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจให้ถ้อยคำ ให้ข้อเท็จจริง ส่งมอบหรือรับเอกสาร วัตถุใดใดต่อคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะอนุกรรมการไต่สวน และให้มีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้เข้าร่วมฟังการสอบสวนการไต่สวน การรับทราบข้อกล่าวหา การตกลงยินยอมหรือประนีประนอมยอมความ หรือทำการอื่นใดที่เกี่ยวข้องได้จนเสร็จการ” ทั้งนี้ ตนได้ขอให้อนุกรรมการบันทึกความเห็นทั้งสองฝ่ายไว้เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ตาม อนุกรรมการที่ทำหน้าที่ในวันนี้รับว่าจะนำเรื่องนี้เข้าหารือที่ประชุมคณะอนุกรรมการทั้งคณะ เพื่อพิจารณาเรื่องการมอบอำนาจนี้ แล้วจะแจ้งผลการประชุมให้ตนทราบต่อไป โดยจากนี้ตนจะรอฟังมติอนุกรรมการไต่สวน หากไม่รับหนังสือมอบอำนาจของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตนถือว่าอาจเข้าข่ายเป็นการใช้ดุลพินิจในทางเป็นผลร้าย ตัดสิทธิ์ในกระบวนการต่อสู้หรือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมได้

นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า อดีตนายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจบรรจุแต่งตั้ง อันเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินตามปกติ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่ต้องทำตามมติคณะรัฐมนตรีและตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำการไม่ใช่การใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นนายกรัฐมนตรีเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้ง ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายมาจากการใช้อำนาจของบุคคลที่เกี่ยวข้องและเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว้ทั้งสิ้น

นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า นายกฯในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการประจำของราชการส่วนกลาง และราชการส่วนภูมิภาค ถามว่าท่านจะไม่มีอำนาจดุลพินิจในการบริหารงานบุคคลและบริการราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาได้หรืออย่างไร เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล บุคลากรต้องมีความเหมาะสม เป็นที่ไว้วางใจและมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลทั่วโลกเขาก็ทำกัน มีแต่ในประเทศไทยนี่แหละที่จะมาเอาความผิดกันแบบเอาเป็นเอาตาย วันนี้เป็นโอกาส จึงขอถามไปยังกรรมการ ป.ป.ช. การไต่สวนฯกรณีทุจริตอนุมัติการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง เป็นสัญญาเดียวโดยฝ่าฝืนมติ ครม. ซึ่งน.ส.สุภา เคยเป็นกรรมการ กวพ.อ. ของกระทรวงการคลัง วินิจฉัยว่าเป็นการกระทำขัดหรือไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องนั้น ป.ป.ช.รับไว้ไต่สวนตั้งแต่ปี 2556 ก่อนเรื่องนี้อีก การไต่สวนไปถึงไหนแล้ว เหตุใดคดีจึงล่าช้าเหมือนประเทศนี้ไม่มี ป.ป.ช.ตรวจสอบอีกฝ่าย ตนมาติดตามทวงถามหลายครั้งแล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 61 ประธาน ป.ป.ช. รับว่าจะเร่งสรุปคดีจะมีคำตอบตั้งแต่สิ้นปีที่แล้ว ตอนนี้กลับเงียบหรือหมกเม็ดอะไรหรือไม่ถึงไม่ทำตามที่พูด นอกจากเรื่องโรงพักแล้วตนขอถามเรื่องอื่นๆ ที่อยู่ในมือของป.ป.ช.เช่น การต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส และอีกหลายเรื่องที่ไม่มีผลสรุปหรือออกมาค้านสายตาประชาชนคนทั้งประเทศอาจสงสัยกันว่าเป็นองค์กรอิสระจริงไหม ป.ป.ช.จะรักษาประโยชน์ของชาติไว้ หรือจะเป็นองค์กรอิสระที่คอยหาช่องช่วยผู้กอบโกยประโยชน์ของชาติ ประชาชนจะได้เห็นกัน ประเทศนี้ดีอยู่กลุ่มเดียว แต่กลับทำให้ชั่วอยู่ฝ่ายเดียว ระวังจะไม่เหลือความเป็นชาติ ไม่เหลือหลักนิติธรรมไว้ให้เชิดชู เพราะการทำลายความยุติธรรม