7 พรรคฝ่ายค้านผนึกกำลัง! หาทางออกวิกฤต พร้อมซักทุกประเด็นวันแถลงนโยบาย

วันที่ 21 กรกฎาคม 2562 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ 7 พรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน ได้ร่วมจัดเสวนาร่วมพรรคฝ่ายค้าน ภายใต้ชื่อ “ทางออกวิกฤตชาติ” อันเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนของพรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาชน ขึ้นเวทีพบสื่อและประชาชนผู้สนับสนุน ประกอบด้วย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายสุภดิช อากาศฤกษ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ และนายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย โดยมีสื่อมวลชนจากหลายสำนักและประชาชนผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายค้านเข้าร่วมงานจนแน่นห้องประชุม

นับเป็นการจัดงานครั้งแรกของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน เพื่อเปิดเผยแนวทางและชี้ให้เห็นถึงปัญหาอันนำไปสู่การอภิปราย ตั้งข้อซักถามกับรัฐบาลและพรรคร่วมในวันแถลงนโยบายที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 กรกฎาคม นี้

“สมพงษ์” ปลุก พลัง 7 พรรค ฝ่าย ปชต. สู้ร่วมประชาชน แก้รธน.เผด็จการ!

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การปกครองด้วยเผด็จการทำให้ทุกอย่างเลวร้าย การขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนไม่สามารถทำได้โดยปกติ ผู้มีอำนาจตั้งตัวเองขึ้นเป็นนายกฯ ตั้งรัฐมนตรี ตั้งบุคคลร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชน ทำให้ประชาชนอ้าปากไม่ได้เลย เดือดร้อนอย่างมาก สิทธิมนุษยชนถูกลิดรอน ฝ่ายตรงข้ามทำอะไรก็ไม่ถูกไปหมด ถูกเรียกไปปรับทัศนคติ ถูกคุกคาม ถูกจับ ถูกทำร้ายร่างกาย แต่ฝ่ายเดียวกันทำได้หมด

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยผู้มีอำนาจเอารัฐธรรมนูญที่ร่างเอง กำหนดเองมาทำให้ประชาชนลำบาก ทั้งนี้ เมื่อมีการเลือกตั้งรัฐบาลปัจจุบันมีทั้งหมด 19 พรรค กว่าจะคุยแล้วตกลงให้ทุกอย่างเป็นไปในแนวเดียวกันก็ใช้เวลามาก มีความพยายามรวมรวมเสียงเพื่อขอตำแหน่ง พรรคที่มี 2-3 คนก็ต่อรองขอให้ตัวเองได้เป็นรัฐมนตรี ใช้เวลา 4 เดือน กว่าจะตั้งรัฐบาลได้ ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้มีพรรคการเมืองมาก ฝ่ายค้านของเรามี 246 เสียงที่ยึดมั่นอุดมการณ์ร่วมกันมาตลอด

แม้จะไม่รู้วิธีคิดคำนวณ ส.ส.ก่อนประกาศผล เหมือนเป็นความพยายามปิดบังสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ให้ประชาชนรู้ ขณะนี้อยู่ในภาวะจำยอมที่ให้เขากระทำมาตลอด เรา 7 พรรคมีความตั้งใจที่จะทำประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน แต่รัฐธรรมนูญเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงที่ทำให้ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมีปัญหา

ทั้งนี้ หากเจอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จะบอกให้ท่านทราบว่าสิ่งที่ทำให้ท่านมาอยู่ตรงนี้ไม่ถูกครรลองคลองธรรม และไม่ถูกกฎหมาย ในสภาฯ อาจไม่มีการพูดเรื่องพวกนี้ แต่สิ่งที่ท่านทำการตั้งรัฐมนตรีท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเหมาะสมหรือไม่ เหล่านี้ท่านต้องรับผิดชอบ

เมื่อถามว่า หากจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ต้องเป็นสุตรของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แบบนี้จะเป็นทางออกของประเทศได้หรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ตามบทกฎหมาย เพราะต้องอาศัยเสียง 1 ใน 3 ของ ส.ว. จากการโหวตเลือกนายกฯก็ไม่เห็นมีสักคนที่โหวตไปอีกทาง ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงต้องขึ้นอยู่กับมหาประชาชนทั้งประเทศ

ทั้งนี้ ตนติดตามการประชุมของพรรคฝ่ายค้านมา แนวทางของเรามีแนวทางที่มั่นคง เราแบ่งงานของเราออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ในสภา และการสื่อสารกับพี่น้องประชาชน เราคงต้องใช้วิทยายุทธ์ต่างๆ ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนเรื่องรัฐธรรมนูญ เราต้องเอาแนวความคิดของเรามาสานต่อแล้วสื่อสารไปยังประชาชน เพราะการจะไปยื่นญัตติในสภาคงเป็นไปไม่ได้ เรากับประชาชนจึงต้องช่วยกันเพื่อให้เกิดการแก้ไข ไม่เช่นนั้นก็จะจมปรักอยู่แบบนี้ตลอดไป 7 พรรคฝ่ายค้าน เราต้องผนึกกำลัง และรักใคร่สามัคคีกันเพื่อสู้ให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ ที่เป็นธรรมต่อพี่น้องประชาชน เพราะวันนี้เรามีศัตรูคนเดียวกัน

เมื่อถามว่า จากนี้ไปฝ่ายค้านจะเคลื่อนไหวนอกสภามากขึ้นหรืออย่างไร นายสมพงษ์ กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเรามีเจตจำนง และจะประสานงานกับพี่น้องประชาชน ส่วนประชาชนจะออกมาต่อต้านอย่างไรนั้น เราคงไม่ออกไปปลุกระดม แต่ให้ประชาชนเขามีความคิดความอ่านของเขาเอง น่าจะเอากระถางธูปมาตั้งไว้ 2 กระถาง แล้วเขียนติดไว้เลยว่าสนับสนุน กับไม่สนับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วลองมาสังเกตกันดูว่ากระถางธูปไหนมากกว่ากัน

เมื่อถามว่า มองท่าทีผู้นำเหล่าทัพที่ออกมาสนับสนุนรัฐบาล ช่วงที่จะมีการแถลงโนยบายอย่างไร นายสมพงษ์ กล่าวว่า สมัยรัฐบาลสมชาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กองทัพไม่ได้เป็นมือไม้ให้รัฐบาลสั่งการได้แต่อย่างใด ม็อบบุกยึดสถานที่สำคัญอย่างง่ายดาย ตัวบุคคลเหล่านั้น ก็ได้กลับมามีอำนาจ ราวกับได้รับการสนับสนุนจากทหารมา เมื่อมาเรือลำเดียวกันก็เป็นอย่างนั้น พวกเดียวกันก็ทำแบบนั้น

“วันนอร์” อัดยับ รัฐบาลนี้ ทุจริตเป็นประจักษ์ ฉะโจรวิ่งราวอำนาจประชาชน

ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค ปช. กล่าวว่า ตนมองรัฐบาลนี้ด้วยความสิ้นหวัง ตนสงสารประชาชนเพราะรอมา 5 ปีทั้งที่ไม่ควรรอมานานถึง 5 ปีด้วยซ้ำ เราก็นึกว่าหนังจะเปลี่ยนเรื่อง แต่กลับต้องดูเรื่องเดิม

วิกฤติของชาติที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นเรื่องใหญ่มาก ภัยแล้งว่าแสนสาหัสแล้ว แต่ที่ร้ายกว่ารัฐบาลที่เข้าสร้างวิกฤติให้ประเทศชาติ และประชาชนอย่างมากมาย จะแก้วิกฤติได้ต้องมีคนเข้ามาแก้ ซึ่งก็คือรัฐบาลที่กำลังจะเสนอนโยบายต่อประชาชน แม้ยังไม่เห็นว่านโยบายเป็นอย่างไร แต่ถึงเห็นไปก็คงเท่านั้น เพราะคนที่จะเข้ามาทำนโยบายให้สำเร็จสำคัญมากกว่า

ถ้าให้ประเมินคนที่จะเข้ามาขับเคลื่อนนโยบายให้สำเร็จนั้นไม่ผ่านสักคน โดยวิกฤติที่แก้ไม่ได้เลยคือศรัทธา และความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล เราจะศรัทธานายกฯ ได้อย่างไร ท่านเก่งตรงไหน ท่านเป็นทหารที่สร้างความสงบแต่เป็นความสงบที่ประชาชนไม่มีกินมีใช้ ตนเห็นด้วยที่บ้านเมืองต้องมีความสงบ แต่ความสงบจะต้องให้ประชาชนมีกินมีใช้ด้วย

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญที่พอมีข้อดีอยู่บ้าง คือมาตรา 160 วรรค 4 ที่กำหนดเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรีว่าต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ แปลว่าต้องเห็นได้ วัดได้ แล้วเอาคนที่เคยโกงมาเป็นรัฐมนตรีมาก็ประจักษ์แล้วว่า โกงเป็นที่ประจักษ์ แค่ยังไม่ทำอะไรก็ขาดคุณสมบัติแล้ว เพราะมีความทุจริตเป็นที่ประจักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องเป็นคนที่เราไว้ใจว่าจะมาดูแลเงินของเรา และของประเทศ ตนไม่เคยพบเคยเจอรัฐมนตรีคนไหน หรือรัฐบาลไหนถูกตั้งคำถามอย่างนี้ ทำไมนายกฯ จึงเอาคนแบบนี้มาเป็นรัฐมนตรี

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ในยุค พล.อ.ประยุทธ์นั้น ตนคิดว่า สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาปากท้องให้คน 3 จังหวัด และปัญหาราคายาง นอกจากนี้ยังขาดการศึกษา แม้จะเรียนฟรี แต่บ้านที่มีลูกหลายคนไม่มีเงินจ่ายค่ารถไปเรียน หลายครอบครัวเป็นแบบนี้

เมื่อก่อนมีโจรวิ่งราวสร้อยทอง แต่เดี๋ยวนี้วิ่งราวเอาโครงการใหญ่ๆของรัฐบาล ทั้งรถไฟฟ้า ทั้งรถไฟความเร็วสูง ที่สำคัญคือวิ่งราวเอาอำนาจของประชาชนไปหมด กลายเป็นวันนี้คนรวยวิ่งราวคนจน เพราะคนจนทำอะไรไม่ได้เลย

“ธนาธร” ลั่น ใช้รัฐสภาสู้รัฐประหาร เชื่อศาลรธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค

ขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของนายณฐพร โตประยูร ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าพรรคอนาคตใหม่ และคณะกรรมการบริหารพรรค ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า

ไกลที่สุดที่ศาลรัฐธรรมนูญจะทำได้คือศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เราหยุดการกระทำดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะยุบพรรคภายใต้คำร้องนี้ จึงอยากเรียนไปยังพ่อแม่พี่น้องรวมถึงประชาชนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ว่าขอให้ไว้วางใจได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจนี้

นอกจากนี้ขอชี้แจงไปยังพี่น้องประชาชนอีกประเด็นหนึ่งว่าเมื่อมีคำร้องนี้เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าใจไปว่าจะคำร้องนี้อาจนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ นั่นหมายความว่าประชาชนไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และเห็นว่าเอะอะอะไรก็มีการยุบพรรค เอะอะก็ใช้กระบวนการยุติธรรมมาเล่นงานพรรคการเมืองที่มีจุดยืนต่อต้านการสืบทอดอำนาจเผด็จการ

ตนจึงอยากตั้งคำถามไปว่าเหตุใดประชาชนจำนวนมากจึงคิดอย่างนี้ และศาลยุติธรรมต่างๆ มีความยุติธรรมจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่เห็นคำร้อง ซึ่งหากมีการพิจารณานอกเหนือจากมาตรา 49 ก็คือเป็นการพิจารณาเกินเลยอำนาจไปแล้ว เพราะการร้องในมาตรา 49 ให้อำนาจศาลในการพิจารณา แต่ไม่ได้ให้อำนาจในการยุบพรรค

เมื่อถามว่าช่วงหนึ่งที่พูดบนเวทีเสวนาเรื่องทางออกในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติว่า หากมีการรัฐประหารจริง สถานที่ที่จะนัดรวมกันคือรัฐสภา ทำให้คนอาจตีความได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า เป็นการส่งสัญญาณแน่นอน แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าพรรคอนาคตใหม่และพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ พร้อมที่จะต่อสู้กับการทำรัฐประหารหากมีขึ้นในอนาคต

สำหรับช่วงงานเสวนา นายธนาธรกล่าวตอนหนึ่งหลังผู้ดำเนินรายการได้ถามฝ่ายค้านมองว่าจะมีการรัฐประหารอีกหรือไม่ และจะมีวิธีต่อต้านการรัฐประหารอย่างไรว่า ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีคนอื่น พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเพียงตัวแทนของระบอบอภิสิทธิ์ชนที่ควบคุมประชาชนอยู่ ก่อนหน้านี้ก็มี พล.อ.สนธิ

ตราบใดที่สังคมไทยสถาปนาความคิดความเชื่อว่าคนเท่ากันไม่ได้ ก็ไม่จบ การรัฐประหารจึงยังมีโอกาสเกิดขึ้น รัฐธรรมนูญคือหัวใจของการครองอำนาจ ถ้าเดินหน้าแก้ไข มีความเสี่ยงจะมีการทำรัฐประหารอีกครั้ง แต่สถานที่ที่จะไปรวมตัวกันต้านรัฐประหารหากมีขึ้น จะไม่ใช่สนามหลวง อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ขอให้ไปที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อยืนยันว่า อำนาจยังอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร

“สถาปนาฟื้นฟูความศักดิ์สิทธิจากอาชีพเดียวที่ประชาชนแต่งตั้ง ดึงความศักดิ์สิทธิ์ของส.ส.ออกมา แล้วแสดงสัญลักษณ์ใหม่ว่า รัฎฐาธิปัตย์ยังอยู่กับสภาผู้แทนราษฎร ถ้าเกิดการคัดง้าง พรรคฝ่ายค้านที่อยู่ตรงนี้จะร่วมต่อสู้กับประชาชน ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม ก็ได้แต่หวังว่า กลุ่มอนุรักษ์นิยมหรืออภิสิทธิ์ชน จะมีสายตายาวพอ ฉลาดพอ ที่จะไม่ทำแบบนั้น ต้องรู้ว่าสังคมไทยต้องเปลี่ยนแปลง การทำให้พรุ่งนี้ทุกวันเป็นเมื่อวานไม่ใช่ทางเลือก หวังว่าเขาจะไม่ทำ แต่ถ้าทำก็ต้องต่อสู้” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่กล่าว