ศูนย์วิจัยฯออมสิน เปิดผลศึกษา “น่าน-แม่ฮ่องสอน” เหลื่อมล้ำสุด ทั้งประเทศมีเพียง 10% รวยสุด

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจแบงก์ออมสิน เปิดผลศึกษา “น่าน-แม่ฮ่องสอน” เหลื่อมล้ำด้านรายได้สูงสุด เผยคน 10% ของประชากรทั้งประเทศไทย “รวยสุด” ถือครองรายได้รวมกัน 35.29% ของรายได้ทั้งประเทศ ส่วนคน 40% “จนสุด” สัดส่วนถือครองรายได้ลดลง ระบุโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่งเริ่มต้นยังต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล

เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน ได้ทำการศึกษาสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ในประเทศไทย โดยผลการศึกษา พบว่า ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เพิ่มขึ้น เห็นได้จาก ในปี 2560 ค่าสัมประสิทธิ์จีนี่มีค่าเท่ากับร้อยละ 45.30 เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีค่าอยู่ที่ 44.50 แม้ว่าสัดส่วนคนจนของประเทศไทยในปี 2560 จะมีสัดส่วนลดลงอยู่ที่ร้อยละ 7.87 ลดลงจากปี 2558 ที่มีค่าอยู่ที่ร้อยละ 8.61 อาจเนื่องมาจากประชาชนฐานรากส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร อาชีพอิสระ และด้านบริการ ซึ่งมีระดับรายได้ที่ได้จากการทำงานไม่สูงมากนัก

อีกทั้งนโยบายการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐยังอยู่ในระยะเริ่มต้นจึงอาจต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผลของนโยบายต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม จากกลุ่มประเทศที่ทำการศึกษาและมีแนวโน้มความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ลดลงต่างก็ให้ความสำคัญกับการศึกษาในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ดังนั้น ภาครัฐอาจพิจารณานโยบายที่เกี่ยวกับการให้การศึกษากับประชาชนตั้งแต่ระดับเด็กเพื่อเป็นพื้นฐานที่มั่นคงและเพื่อให้ได้ผลอย่างต่อเนื่องแนวทางการปฏิบัติของนโยบายที่เกี่ยวข้องควรมีการดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เมื่อศึกษาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เป็นรายพื้นที่ พบว่า ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้มากกว่าภูมิภาคอื่น โดยจังหวัดน่านและจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่เผชิญปัญหาดังกล่าวในอันดับต้น ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับพื้นที่ในภาคเหนือเป็นอันดับต้น ๆ ในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้โดยเฉพาะในจังหวัดน่านและจังหวัดแม่ฮ่องสอน

“ในขณะที่ธนาคารออมสินซึ่งมีโครงการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) แก่ผู้มีรายได้น้อยและบุคคลทั่วไป ดังนั้น ธนาคารอาจพิจารณาให้ความสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อให้คนในพื้นที่เกิดความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการการเงินและตระหนักถึงการออมมากขึ้น และจากสภาพภูมิประเทศของภาคเหนือเป็นภูเขาและพื้นที่สูงและมีการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ธนาคารอาจพิจารณาสินเชื่อ GSB Homestay โดยจัดแคมเปญหรือโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้มีรายได้น้อยเพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ สร้างอาชีพ และเกิดการกระจายรายได้ เพื่อให้ประชาชนฐานรากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและอาจจะทำให้สัดส่วนคนจนลดลงได้ในอนาคต”

ทั้งนี้ ผลการศึกษาชี้ว่า จากข้อมูลสัดส่วนคนจน และค่าสัมประสิทธิ์จีนี่ ตั้งแต่ ปี 2550-2560 พบว่า แนวโน้มคนจนและความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง แต่ในปี 2560 แม้สัดส่วนคนจนจะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องแต่ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้กลับสวนทางกัน โดยสัดส่วนคนจนมีค่าอยู่ที่ร้อยละ 7.87 ลดลงจากปี 2558 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 8.61 แต่ค่าสัมประสิทธิ์จีนี่มีค่าอยู่ที่ร้อยละ 45.30 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีค่าอยู่ที่ร้อยละ 44.50 สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของประเทศไทยที่มีเพิ่มขึ้น

ดังนั้น ถึงแม้ภาครัฐจะมีนโยบายเพื่อลดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ออกมาช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องและสามารถช่วยลดจำนวนคนให้ลดลงได้ แต่อาจเพราะนโยบายส่วนใหญ่เป็นการให้สวัสดิการต่าง ๆ การให้ความรู้ทางการเงิน รวมถึงการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถพัฒนาตัวเองและก้าวข้ามความจนได้อย่างยั่งยืน และการช่วยเหลือผ่านนโยบายต่างๆ ของภาครัฐในปัจจุบันที่เริ่มดำเนินการอย่างเข้มข้นและนับได้ว่าอยู่ในระยะเริ่มต้น ดังจะเห็นได้จากการดำเนินการตามนโยบายของโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ ที่เริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน และการดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 – 2564) ดังนั้น อาจต้องใช้ระยะเวลาที่จะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมจึงทำให้ยังคงมีปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ปรากฏให้เห็น

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนรายได้ของประชากรหรือการถือครองรายได้ของกลุ่มประชากรตามระดับรายได้ พบว่า การถือครองรายได้ของประชากรภายในประเทศส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มประชากร 10% ที่มีรายได้มากที่สุด โดยปี 2560 ประชากร 10% ที่มีรายได้มากที่สุด มีรายได้เฉลี่ยต่อคน ต่อเดือน 33,933 บาท ถือครองรายได้รวมร้อยละ 35.29 ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน 32,759 บาท และมีสัดส่วนการถือครองรายได้รวมร้อยละ 34.98 ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ

และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับกลุ่มประชากร 40% ที่มีรายได้ต่ำสุด (Bottom 40) พบว่า ในปี 2560 มีความแตกต่างของรายได้ 9.96 เท่า โดยกลุ่ม Bottom 40 มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน 3,408 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีจำนวน 3,353 บาท และมีสัดส่วนการถือครองรายได้รวมร้อยละ 14.18 ลดลงจากปี 2558 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 14.32

ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่าระดับรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนของประชากรไทยมีจำนวนมากขึ้นแต่การกระจายรายได้ยังมีความไม่เท่าเทียมกัน สาเหตุอาจมาจากลักษณะของกลุ่ม Bottom 40 ที่ส่วนใหญ่เป็นคนยากจนหรือคนเกือบจน อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นผู้ว่างงานไม่มีรายได้หรือประกอบอาชีพอิสระซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน รวมถึงส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ส่งผลให้โอกาสในการหารายได้ของคนกลุ่มนี้มีไม่มากนัก และเป็นตัวผลักดันที่ทำให้ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากดัชนีความก้าวหน้าของคน (Human Achievement Index – HAI) ปี 2560 (ล่าสุด) พบว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีการพัฒนาคนก้าวหน้าน้อยที่สุด โดยค่าดัชนีความก้าวหน้าด้านรายได้เท่ากับ 0.3062 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่อยู่ที่ 0.5463 และมีจำนวนประชากรยากจนมากที่สุดในประเทศเช่นกัน สอดคล้องกับข้อมูลคนจนเป้าหมายที่มีปัญหาด้านรายได้จาก TPMAP (ระบบบริหารข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า) โดย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปี 2560 พบว่า สัดส่วนคนจนที่มีปัญหาด้านรายได้มีอยู่ในจังหวัดน่านและจังหวัดแม่ฮ่องสอนมากที่สุด และจังหวัดที่มีปัญหา 5 อันดับแรกก็อยู่ในพื้นที่ของภาคเหนือทั้งหมดเช่นกัน

ในปี 2561 ข้อมูลจาก TPMAP ยังคงแสดงพื้นที่ที่มีสัดส่วนคนจนเป้าหมายที่มีปัญหาด้านรายได้ในพื้นที่เดิมเช่นเดียวกับในปี 2560 คือ ภาคเหนือยังคงเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนเป้าหมายฯ มากที่สุด และจังหวัดน่าน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนคนจนเป้าหมายที่มีปัญหาด้านรายได้มากที่สุด 2 อันดับแรก ตามลำดับ โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนเป้าหมายฯ น้อยที่สุด ได้แก่ มุกดาหาร นครพนม และหนองบัวลำภู ตามลำดับ

เมื่อพิจารณาสัดส่วนคนจนเป้าหมายที่มีปัญหาด้านรายได้มากที่สุดจำแนกตามภูมิภาค พบว่า ภาคเหนืออยู่ที่จังหวัดน่าน ร้อยละ 4.30 ภาคกลางอยู่ที่จังหวัดพิจิตร ร้อยละ 2.38 ภาคใต้อยู่ที่จังหวัดสตูล ร้อยละ 1.93 ภาคตะวันตกอยู่ที่จังหวัดตากร้อยละ 1.77 ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ร้อยละ 1.07 และภาคตะวันออกอยู่ที่จังหวัดตราด ร้อยละ 0.85 ตามลำดับ

โดยจากผลการศึกษาข้างต้นพบว่า พื้นที่ภาคเหนือซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาและพื้นที่สูง ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพบริการและการเกษตรเป็นหลัก เป็นพื้นที่ที่สัดส่วนคนจนเป้าหมายมีปัญหาด้านรายได้มากที่สุด ทำให้ภาครัฐมีแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตแก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุอย่างมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน และยกระดับทักษะฝีมือแรงงานภาคบริการ ซึ่งกำหนดไว้ในแผนพัฒนาภาคเหนือ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนี้

1) ส่งเสริมการสร้างรายได้และการมีงานทำของผู้สูงอายุและคนยากจน โดยดำเนินการในรูปของ กลุ่มอาชีพและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้มีรายได้และได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองอย่างต่อเนื่อง สามารถพึ่งพาตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

2) พัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้ รวมทั้งแก้ปัญหาการขาดแคลน ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดบริการด้านสวัสดิการให้กับ
ผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสในชุมชน

3) พัฒนาแรงงานให้มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะฝีมือให้สูงขึ้น สอดคล้องกับโครงสร้างการผลิตและบริการบนฐานความรู้และเศรษฐกิจสร้างสรรค์

4) สร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัวและชุมชน เพื่อให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการจัดสวัสดิการชุมชนได้อย่างยั่งยืน และเป็นโครงข่ายการคุ้มครองทางสังคมให้กับผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสในชุมชน