ฮ่องกงประท้วงไม่กระทบส่งออกไทย | ททท.หั่นเป้ารายได้ท่องเที่ยวลง 2 หมื่นล้าน | จ่อเก็บภาษีเบียร์อีแสตมป์อุดรูรั่ว

แฟ้มข่าว

ฮ่องกงประท้วงไม่กระทบส่งออกไทย

นางชณันภัสร์ พิศาลอภิพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง เปิดเผยถึงเหตุการณ์ประท้วงใหญ่ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกงล่าสุดว่า การชุมนุมประท้วงใหญ่ครั้งนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางการเมืองของฮ่องกง ส่วนด้านการค้า สำหรับผู้ส่งออกไทยที่ส่งสินค้าไปฮ่องกงขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบในเรื่องของการค้าระหว่างประเทศและการขนส่ง เนื่องจากการประท้วงในครั้งนี้หากรุนแรงยืดเยื้อจะส่งผลกับการบริโภคและธุรกิจในฮ่องกงก่อน แต่มีข้อสังเกตว่าผู้ประท้วงมักจะเลือกดำเนินการในวันสุดสัปดาห์เพื่อไม่ให้กระทบกับการค้าภาคธุรกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดนเฉพาะภาคการเงิน ได้มีแหล่งข้อมูลแจ้งว่ามีการย้ายเงินทุนออกไปจากฮ่องกงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังเป็นเป้าหมายหนึ่งในการย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้าสหรัฐกับจีน ทั้งนี้ มีกำหนดการว่านักธุรกิจฮ่องกงกว่า 40 รายจะมาเยือนไทยในวันที่ 8-10 กรกฎาคมนี้

ครม.เคาะ 240 ล.ช่วยผู้ค้าเหตุม็อบปิดสนามบิน

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้แก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 รวม 4 ฉบับ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมประท้วงและปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2552-2553 ส่งผลให้มีผู้โดยสารลดลง วงเงินรวมประมาณ 240 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการคลังสินค้าที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ทำกับบริษัท ดับบลิวเอฟเอฟพีจีคาร์โก้ จำกัด 2.ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมโครงการอุปกรณ์บริหารภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุงที่ ทอท.ทำกับบริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพ เวิลด์ไวด์ไฟล์ทเซอร์วิส จำกัด 3.ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการครัวการบินที่ ทอท.ทำร่วมกับบริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด และ 4.ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาโครงการครัวการบินที่ ทอท.ทำร่วมกับบริษัท แอลเอสจี สกายเชฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด “รูปแบบการช่วยเหลือผู้ประกอบการ อาจจะไม่ใช่การให้เงิน แต่จะเป็นการขยายอายุสัญญาสัมปทานเพิ่มเติมก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้วงเงินงบประมาณดังกล่าว” นายไพรินทร์กล่าว

สรท.หั่นเป้าส่งออกปีนี้ติดลบ 1%

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2562 ที่ห้องประชุม 1 สภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ชั้น 32 อาคารลุมพินีทาวเวอร์ นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สรท.ปรับเป้าหมายการส่งออกปี 2562 เติบโต 1 ถึง -1% หรือคาดว่าจะโตใกล้เคียงกับปี 2561 ที่เติบโต 0% จากเดิมที่คาดว่าทั้งปี 2562 คาดว่าจะโต 1% จากปัจจัยลบต่างๆ อาทิ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐยังไม่ชัดเจน ต้องติดตามสถานการณ์อีก 3 เดือน และปัญหาสุญญากาศทางการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่สามารถดูแลปัญหาค่าเงินบาทได้อย่างเต็มที่เพราะต้องรอแนวทางจากรัฐบาลชุดใหม่ก่อน เป็นต้น “หากเร่งจัดตั้งรัฐบาลจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนไทยและต่างชาติกลับมาได้ รวมถึงจะช่วยให้ประเทศมีเสถียรภาพและสามารถกำหนดแนวทางการบริหารและจัดการให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อยากเสนอแนะภาครัฐเร่งดำเนินการเรื่องที่สำคัญ อาทิ การเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศ (เอฟทีเอ), การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซป) ระหว่างอาเซียน กับ 6 ประเทศคู่เจรจา, ปรับปรุงข้อกฎหมายและกฎระเบียบทางการทูต ให้มีรูปแบบที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการ และการส่งเสริมการพัฒนาที่มีความสำคัญสำหรับการค้าและการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น”

ททท.หั่นเป้ารายได้ท่องเที่ยวลง 2 หมื่นล้าน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้ปรับเป้ารายได้ภาคการท่องเที่ยวในปี 2562 ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท มีอัตราเติบโต 10% เหลือ 3.38 ล้านล้านบาท โต 9.5% หรือคิดเป็นรายได้ที่ลดลงจากเดิมประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยต้องมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังนี้ให้มากที่สุด แต่หากไม่มีการกระตุ้นคาดว่ารายได้การท่องเที่ยวปีนี้จะโตเพียง 7% เท่านั้น ทั้งนี้ ททท.ได้จัดประชุมบูรณาการแผนปฏิบัติการ ททท.ประจำปี 2563 ได้มอบนโยบายแก่ผู้บริหารและผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ทั่วโลก เพื่อจัดทำแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทยช่วงที่เหลือของปี 2562 หลังจากสถานการณ์การท่องเที่ยวในปีนี้ต้องเผชิญกับสารพัดปัญหาที่เข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กรณีเรือนักท่องเที่ยวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อช่วงปลายปี 2561 เรื่อยมาจนถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันอยู่ในทิศทางขาขึ้น และสถานการณ์การเมืองในประเทศหลังเลือกตั้งที่ส่งผลทำให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ล่าช้าออกไป จึงมองว่าในช่วง 6 เดือนหลังจากนี้ จะต้องเร่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้มากขึ้นไม่ว่าสถานการณ์ต่างๆ จากภายในและภายนอกประเทศจะออกมาเป็นอย่างไรต่อไปก็ตาม

เก็บภาษีเบียร์อีแสตมป์อุดรูรั่ว

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมได้ปรับเปลี่ยนการจัดเก็บภาษีเบียร์ใหม่ นำระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Stamp) มีลักษณะเหมือนคิวอาร์โค้ด โดยยิงลงบนผลิตภัณฑ์ในสายการผลิต แทนการจัดเก็บภาษีแบบนับปริมาณเมื่อออกจากโรงงานผลิต ซึ่งวิธีการนับปริมาณนั้น ทำให้เกิดช่องว่างในการรั่วไหลของภาษี โดยปีภาษี 2562 การจัดเก็บภาษีเบียร์ต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 1 หมื่นล้านบาท จึงต้องเข้มงวดในกลุ่มสินค้าเบียร์ให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้กฎกระทรวงเรื่องอีแสตมป์อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ประกาศเป็นกฎกระทรวงเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการเสียภาษีเบียร์ใหม่ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า และเริ่มใช้ในปีงบประมาณ 2563 หรือภายในเดือนตุลาคมนี้

นอกจากนี้ จะเข้มงวดการตรวจปล่อยเบียร์ส่งออก เพราะพบว่าไม่มีการส่งออกจริงในบางล็อตและลักลอบนำมาขายในประเทศ