กรมศุลฯ จ้องเก็บภาษีแบรนด์เนม คุมเข้มนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์-เศษพลาสติก

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรให้ความสำคัญกับการนำเข้าสินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ โดยในปีนี้จะเร่งติดเครื่องเอ็กซเรย์เพื่อตรวจของนำเข้าทั้งทางไปรษณีย์ และให้ความสำคัญกับสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงที่คนไทยไปซื้อถือขึ้นเครื่องมาจากต่างประเทศ อยากให้คนที่ไปซื้อสินของดังกล่าวซึ่งมีเงินซื้อของระดับแสนบาท บางชิ้นระดับล้านบาทเสียภาษีให้รัฐ เพราะคนซื้อขอคืนภาษีจากประเทศต้นทางมาแล้ว และถือเป็นของฟุ่มเฟือยถ้านำเข้ามาในไทยต้องเสียภาษี

นายกฤษฎากล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในปีนี้กรมมีนโยบายเป็นพิเศษในเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเศษพลาสติก โดยกำชับไปยังด่านต่างๆ ให้ตรวจเข้ม 100% เพื่อไม่ให้ขยะดังกล่าวไหลเข้ามาในไทย โดยหากตรวจพบมีการลักลอบนำเข้าจะส่งฟ้องดำเนินคดีทันทีจะไม่มีการเปรียบเทียบปรับ ทำให้คนที่ลักลอบนำเข้าน้อยลง

“โทษการนำเข้าโดยไม่ถูกต้องมีทั้งปรับและจำแล้วแต่คดีและปริมาณนำเข้า แต่ถ้าเป็นขยะ 2 ชนิดดังกล่าวจะส่งฟ้องดำเนินคดี โดนช่วงปีงบประมาณ  2561-2562 กรมศุลกากรสามารถจับกุมคดีลักลอบและหลีกเลี่ยงนำเข้าเศษพลาสติกได้ทั้งสิ้น 103 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 17.5 ล้านบาท น้ำหนักรวม 4,043 ตัน โดยในปีงบประมาณ 2561 จับกุมได้ถึง 86 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 14.5 ล้านบาท น้ำหนักรวม 3,664 ตัน และในปีงบประมาณ 2562 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 – พฤษภาคม 2562 สามารถจับกุมได้แล้วถึง 17 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3 ล้านบาท น้ำหนักรวม 379 ตัน”นายกฤษฎากล่าว

นายกฤษฎา กล่าวว่า  จากเดิมจีนเป็นประเทศที่นำเข้าเศษขยะรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์ (พิกัด 84 และ 85 ที่มีการกำหนดรหัสสถิติเป็น 800 และ 899) และเศษพลาสติก (พิกัด 3915) ต่อมาจีนเริ่มมีนโยบายในการห้ามการนำเข้าเศษขยะหลายชนิด ประกอบกับผลการประชุมสนธิสัญญาบาร์เซล (Basel Convention) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีมติให้เพิ่มความเข้มงวดของชนิดขยะที่สามารถนำเข้าส่งออกระหว่างกันได้ รวมทั้งต้องได้รับความยินยอมในการนำเข้าจากประเทศปลายทางด้วย ส่งผลให้ประเทศอุตสาหกรรม เช่น ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป เปลี่ยนจุดหมายการส่งออกเศษขยะมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน ซึ่งทำให้มีการนำเข้าเศษขยะมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีมาตรการตอบโต้การนำเข้าเศษขยะ โดยเฉพาะเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปในทิศทางเดียวกัน คือ ห้ามหรือลดการนำเข้าเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์

นายกฤษฎา กล่าวว่า  สำหรับกรณีขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยนั้น ผู้นำเข้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อนการนำเข้า แต่เนื่องจากคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน  คณะที่ 5 ที่มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  เป็นประธาน ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 มีมติให้ระงับการอนุญาตนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ จากโรงงานที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาบาเซล ทำให้เหลือผู้ได้รับอนุญาตนำเข้าเพียง 1 ราย เท่านั้น นอกจากนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 มีมติเห็นชอบมาตรการห้ามนำเข้า

นายกฤษฎา กล่าวว่า  ขยะอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วเข้ามาในประเทศ โดยได้อนุมัติร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะทำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. …. เพื่อกำหนดนิยามและข้อห้ามไม่ให้โรงงานใช้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของโรงงาน พร้อมมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการออกประกาศห้ามนำเข้าซึ่งสินค้าอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วที่จะนำมาถอดแยก เพื่อนำโลหะกลับมาใช้ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

“ ตั้งแต่ปี  2560 เป็นต้นมา มีการลดโควตาการนำเข้าของเศษพลาสติกจากหลายแสนตัน เหลือเพียง 70,000 ตัน เท่านั้น จากข้อมูลสถิติการนำเข้าของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการนำเข้า เศษพลาสติก ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ของประเทศไทย พบว่ามีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  แต่เริ่มมีแนวโน้มลดลงในปี2562 เนื่องจากมีการควบคุมการนำเข้าอย่างเข้มงวดจากภาครัฐ”นายกฤษฎา กล่าวว่า

มติชนออนไลน์