“สราวุธ เลขาธิการศาลยุติธรรม” เตรียมติวเข้มข้อกฎหมาย ตำรวจศาลชุดแรก 16 ก.ค.

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงความพร้อมการจัดอัตรากำลังเจ้าพนักงานตำรวจศาล หรือ Court Marshal ระหว่างเป็นประธานเปิดงานสัมมนาสื่อมวลชนสัมพันธ์ประจำศาลยุติธรรม วันที่ 29-30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ โรงแรม โอ๊กวูด ศรีราชาว่า สำหรับกำลังอัตราของ เจ้าพนักงานตำรวจศาล เบื้องต้นขณะนี้กำหนดไว้ 40 อัตรา ก็มีผู้สมัครเข้ามาหลายร้อยคน

ซึ่งทำการคัดเลือกคุณสมบัติที่เหมาะสมแล้ว รอการยืนยันโอนย้ายเพื่อมาบรรจุเป็นเจ้าพนักงานตำรวจศาล โดยในส่วนตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มระดับชำนาญการพิเศษ ชำนาญการนั้นส่วนใหญ่ก็รับโอนมาจากทหาร ตำรวจ และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง สำหรับภารกิจเมื่อได้รับบรรจุมาแล้วก็จะพิจารณาตามหน้าที่ที่เหมาะสมต่อไป เช่น เรื่องการดูแลกู้ระเบิดก็ต้องมีเพราะดูแลความปลอดภัยทั้งอาคารศาล คุ้มกันผู้พิพากษา หรือ เรื่องเกี่ยวกับระบบรวมทั้งระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบข้อมูลข่าวสาร
เมื่อหน่วยงานต้นสังกัดมีคำสั่งให้โอนย้ายแล้วทางสำนักงานศาลยุติธรรมก็จะมีคำสั่งรับโอนมาทันที ขณะนี้จำนวนยังไม่ครบ 40 อัตราแต่ในวันที่ 16 ก.ค.จะต้องจัดกำลังอัตราให้ได้จำนวนใกล้เคียงที่สุดโดยหลังจากวันที่ 16 ก.ค.แล้วอีก 4-5 วัน สํานักงานศาลยุติธรรมก็จะจัดการฝึกอบรมเจ้าพนักงานตำรวจศาลซึ่งรับโอนมาดังกล่าวที่ศูนย์ฝึกอบรมตลิ่งชันตามที่กฎหมายเจ้าพนักงานตำรวจศาล กำหนดไว้ให้ต้องทำด้วย

โดยจะเป็นการอบรมเพิ่มความเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญ ปรมาจารย์ด้านกฎหมาย ทั้งอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา หรือ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ส่วนทักษะภาคสนามนั้นส่วนใหญ่ผู้รับโอนมาบรรจุก็ผ่านการฝึกอบรมมีทักษะมาจากหน่วยงานสังกัดเดิมอยู่แล้ว ซึ่งก็จะมีการทบทวนไปด้วย โดย”เจ้าพนักงานตำรวจศาล” นี้ก็จะถือเป็นข้าราชการศาลยุติธรรมประเภทหนึ่งด้วยก็จะมีความเจริญก้าวหน้าตามสายงานโดยสามารถเติบโตได้ตำแหน่งสูงสุดคือ ระดับรองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ถ้าเทียบระดับตามระบบซี คือ ซี 10 ขณะที่ในระบบของศาลเราก็มีระบบคุณธรรมในการพิจารณาแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งด้วย หากคุณทำดีมีผลงานก็สร้างโอกาสก้าวหน้าตั้งแต่ระดับ ผู้อำนวยการ , ผู้ช่วยเลขาธิการ , รองเลขาธิการ

นายสราวุธ อธิบายถึงภารกิจของเจ้าพนักงานตำรวจศาลด้วยว่า ภารกิจหนึ่ง คือการติดตามจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยที่สวมกำไลข้อเท้า EM แล้วหลบหนีระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ที่ขณะนี้มีจำนวน 163 ราย เมื่อจะมีเจ้าพนักงานตำรวจศาลเข้ามาเริ่มทำหน้าที่ในวันที่ 16 ก.ค.นี้ ก็จะได้รับมอบภารกิจในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนีนั้น ให้กลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไปซึ่งการหลบหนีคาดว่าเป็นการทําลายอุปกรณ์ EM ทิ้งแล้วหลบหนีไป โดย พ.ร.บ.เจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ.2562 มาตรา 5 เมื่อศาลได้ออกหมายจับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกหรือ คำสั่งศาล ให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้จัดการตามหมายจับ และหากศาลเห็นสมควร ศาลอาจให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้จัดการตามหมายจับด้วยโดยมีเจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้สนับสนุนก็ได้

คือกฎหมายเขียนให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลนั้นมีหน้าที่ประสานงาน ตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่หรือผู้ที่มีเกี่ยวข้องตามหมายจับผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นทำการจับกุมก่อน แต่หากยังไม่ดำเนินการหรือกรณีนั้นเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเจ้าพนักงานตำรวจศาลก็สามารถดำเนินการได้เอง โดยกฎหมายได้เปิดช่องทางไว้ให้ คือจะต้องให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่หลักก่อนว่าเรื่องนั้นใครเป็นผู้รับผิดชอบ เจ้าพนักงานตำรวจศาลของเราก็จะประสานก่อน ก็เพราะด้วยข้อจำกัด 1.เจ้าพนักงานตำรวจศาลเรามีจำนวนน้อย40 อัตราในเบื้องต้นนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไปติดตามจับกุม เองได้ทั้งหมด 2.ในส่วนของตำรวจเอง มีกำลังถึง 200,000 นาย มีหน้าที่หลักในการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่มีการออกหมายจับและหลบหนีในส่วนพื้นที่รับผิดชอบของเขาอยู่แล้ว ก็ต้องให้เขาทำหน้าที่หลักนั้นก่อน

ยกตัวอย่าง หากผู้ที่มีหน้าที่หลักในการจับกุมแล้ว แต่ยังไม่มีใครจับหรือจับได้ไม่หมด ก็ต้องมีหน่วยงานมอนิเตอร์ติดตามให้ผลการจับกุมตามหมายจับของศาลนั้นมีผลให้มากที่สุดในคดีสำคัญ คดีที่มีเบาะแส ถ้ามีข้อมูลแล้วจับได้ก็ให้จับเลย

โดยเจ้าพนักงานตำรวจศาล 1.ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ซ้ำซ้อนกับระบบปกติ 2.ระบบตำรวจศาลเป็นผู้ประสานงาน หรือหน่วยเสริมในภารกิจที่ขาดเจ้าภาพชัดเจน เช่นกรณีล่าสุดที่เราเห็นเป็นข่าวที่ผ่านมาว่า การฟ้องคดีจะขาดอายุควาใน 4-5 วัน แล้วก็รู้ตัวผู้ต้องหาที่จะต้องติดตามจับกุมตัวมาฟ้อง ก็ไม่มีใครชี้ตัวให้จับมา แต่ถ้ามีเจ้าพนักงานตำรวจศาลแล้ว หากเป็นกรณีที่คดีได้อยู่ในกระบวนการขั้นตอนของศาลแล้ว คดีจะขาดอายุความในไม่กี่วัน ถ้าเห็นตัวผู้นั้นตำรวจศาลก็ต้องไปเช็คข้อมูล แล้วแจ้งประสานไปยังตำรวจในท้องที่หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อจับกุมได้เลย ดังนั้นกฎหมายตำรวจศาลนี้จึงเป็นการอุดช่องว่างในการทำงาน เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เมื่อถามว่า ในส่วนของผู้ต้องหาและจำเลยเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ที่ได้หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ยังหลบหนีการจับกุมดำเนินคดีอาญา , นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมตรี ซึ่งมีคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ศาลได้พิพากษาจำคุกไว้แล้ว และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวอดีตนายกฯ ที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาจำคุกแล้วเช่นกันในคดีจำนำข้าว เมื่อมีเจ้าพนักงานตำรวจสายแล้วจะสร้างมิติใหม่ในเรื่องของการติดตามจับกุมตัวในส่วนของผู้ต้องหาและจำเลยที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศเช่นนี้ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยหรือไม่ อย่างไร

นายสราวุธ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ในส่วนผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศนั้น เป็นเรื่องของการประสานงานระหว่างประเทศ และตำรวจสากล หรืออินเตอร์โปล (INTERPOL) โดยการติดตามจับกุมตัวบุคคลที่กระทำผิดของเราในต่างประเทศนั้น เราไม่มีเขตอำนาจในต่างประเทศ โดยเจ้าพนักงานตำรวจศาลตามกฎหมายของเรานี้ไม่ใช่ตำรวจโลก แต่ยังเป็นตำรวจไทยที่มีอำนาจหน้าที่ในเขตของประเทศไทยเท่านั้น

ทั้งนี้ในลักษณะทั่วไปของผู้ต้องหาและจำเลยที่หลบหนีไปต่างประเทศนั้น มักจะมีศักยภาพ ในการเดินทางไปยังประเทศต่างๆโดยไม่ได้หยุดอยู่ที่ใดเฉยๆ ให้ตามจับกุมตัวได้ง่ายๆ ดังนั้นในส่วนการประสานงานกับต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียวด้วย

“เรื่องนี้ผมชื่อมั่นว่าระบบตำรวจศาล และความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรมจะดีขึ้น แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะทำได้เพียงฝ่ายเดียว ตัวอย่างเช่น เรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลหมายจับ-หมายค้นระบบออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ ตำรวจให้ความร่วมมือดีมาก ผบ.ตร.มอบให้ พล.ต.ท.ชนสิษฏ์ วัฒนาวรางกูร ผช.ผบ.ตร.กำกับดูแล ก็ช่วยกันเปลี่ยนระบบให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและกระจายไปทั่วประเทศด้วยเรื่องนี้ต้องชม ขณะที่เรื่องการประสานทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศาลกับ ตม.ทั่วประเทศ ที่จะให้รู้ว่าคดีใดศาลมีคำสั่งผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้ประกันตัวห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

ซึ่งศาลได้เตรียมเชื่อมโยงระบบข้อมูลผ่านทางออนไลน์เป็นข้อมูลส่งถึงด่าน ตม.ทั่วประเทศ ก็ทำหนังสือถึง ผบ.ตร.เรียบร้อยแล้ว แต่ 6 เดือนที่ผ่านมาเรื่องยังติดอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เราก็พยายามทำให้ระบบเหล่านี้เกิดขึ้นให้ได้เร็ว” นายสราวุธ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ระบุ

 

มติชนออนไลน์