ทำร้าย “จ่านิว” พิสูจน์รัฐบาล 5 ปีอันล้มเหลว คนเห็นต่างอยู่ร่วมไม่ได้

วันที่ 30 มิถุนายน 2562 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกรุมทำร้ายว่า เหมือนที่ตนเคยเเสดงความเห็นไว้ว่า ขณะนี้เป็นช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้น สิ่งไหนที่เคยทำได้ เเละไม่ต้องได้รับการตรวจสอบต้องรีบเลิกเลย

หมายถึงอำนาจที่เคยใช้โดยไม่ได้รับการตรวจสอบต้องเลิก มิเช่นนั้นพอเข้าสู่ประชาธิปไตยเเล้ว จะประคับประคองให้บ้านเมืองเดินไปยากมาก เพราะข้าราชการส่วนหนึ่งเขาชินกับระบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ไม่ต้องผ่านการตรจสอบ ถ้ายังใช้อำนาจอย่างนั้นอยู่จะกระทบกระเทือนถึงผู้ที่บริหารประเทศ

ผู้ซึ่งเป็นผู้กำกับการใช้อำนาจของข้าราชการ อย่างเช่นเรื่องทำร้ายจ่านิว เมื่อเป็นคดีทำร้ายร่างกายขึ้นมา สังคมก็อยากให้จับตัวคนร้ายให้ได้ ถ้าจับไม่ได้ ประชาชนจะเพ่งเล็งไปที่คนกำกับดูแลคนบริหารงานตำรวจ ว่าเหตุใดถึงจับคนร้ายมาลงโทษไม่ได้

“นี่เเหละมันจะถึงผู้บริหารทางการเมือง เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นหลายครั้งเเล้วดำเนินการไม่ได้เลย อำนาจทางการเมืองมันจะสั่นคลอนจนเกิดคำถามว่าเเล้วเรามีนักการเมืองไว้ทำไม เราอย่าไปคิดถึงว่า คนร้าย เป็นฝั่งไหนหรือชอบใครไม่ชอบใคร หลักการคือใครทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ จะอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้ การเมืองจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ ก็ต้องดูกันตรงนี้ ถ้าเปลี่ยนผ่านไม่ดีบ้านเมืองจะยุ่งเหยิง” นายนิพิฎฐ์ กล่าว

5 ปีที่ล้มเหลวคนเห็นต่างอยู่ร่วมกันไม่ได้

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ถือเป็นการทำร้ายที่รุนแรงที่สุด บางคนบอกว่าอย่าเพิ่งสันนิษฐานว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่ดูจากการทำร้ายผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองมาตลอด โดยเฉพาะกรณีของจ่านิวที่กล้าออกมาคัดค้านรัฐประหารและการใช้อำนาจของคสช. รวมทั้งระยะหลังเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมประชาธิปไตย ทำให้คนที่ติดตามก็ต่างสันนิษฐานว่าเป็นเรื่องการเมืองแน่นอน

นอกจากจับคนร้ายได้และพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าไม่ใช่การเมือง ถึงจะเชื่อได้ว่าไม่เป็นการเมือง เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ไม่ควรอยู่เฉย โดยไม่พูดหรือไม่ทำอะไรเลยอย่างที่เป็นอยู่ อาจจะต้องแสดงความรับผิดชอบและเอาจริงเอาจังป้องกันปัญหา อย่าปล่อยให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมายและป่าเถื่อน

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นเท่ากับว่า 5 ปีมานี้ คสช.และรัฐบาลล้มเหลวที่จะทำให้คนที่เห็นต่างอยู่ร่วมกันในสังคมได้ มีสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบ ยังมีการใช้ความรุนแรงประหัตประหารผู้ที่เห็นต่าง เท่ากับเป็นความล้มเหลวของ คสช.อย่างสิ้นเชิง

เหตุการณ์ทำร้ายจ่านิวเพื่อต้องการกำราบฝ่ายประชาธิปไตยหรือที่เห็นต่างให้กลัว ทั้งนี้ อาจจะบอกว่าทำแล้วส่งผลเสีย พล.อ.ประยุทธ์ คสช. และรัฐบาลเองแล้วทำไมยังจะทำ ตนเข้าใจว่าพวกที่ทำน่าจะเป็นสายเหยี่ยวที่มองว่าต้องกดให้ฝ่ายเห็นต่างหยุดเคลื่อนไหว

เพราะจากนี้ คสช.ไม่สามารถใช้สิทธิ์อำนาจโดยเด็ดขาดได้อีกแล้ว เมื่อเป็นรัฐบาลก็ต้องว่าไปตามกฎหมายและมีการตรวจสอบของสภาฯ และฝ่ายต่างๆ มากขึ้น จึงอาจจะต้องการกดให้อยู่ เลยทำให้ไม่ได้คิดถึงผลเสียที่จะตามมา ถึงได้บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์กับพวกต้องรีบจัดการเรื่องนี้ เพราะมันส่งผลเสียต่อสังคมโดยรวมอย่างมาก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเริ่มต้นของรัฐบาลใหม่ที่ต้องแบกเอาความไม่ชอบธรรมเต็มไปหมดเอาไว้

คิดแบบสากล

ด้านน.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า นี่เป็นอีกครั้งที่ประชาชนคนไทยคนหนึ่งถูกคุกคาม เพียงเพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากใคร ไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่ควรถูกกระทำรุนแรง ดิฉันขอประณามผู้กระทำรุนแรงต่อ “จ่านิว” ในครั้งนี้ และขอเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาแสดงความจริงใจและจริงจังในการเร่งติดตามผู้กระทำผิดให้มากกว่าที่เป็นอยู่

ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ “จ่านิว” นักกิจกรรมที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คุณแม่น้องนิว และครอบครัวผู้อดทน เข้าใจในอุดมการณ์ของน้องมาโดยตลอด แม้ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ตาม ขอให้น้องมีกำลังใจที่เข้มแข็ง ร่างกายให้หายดีในเร็ววันด้วยนะคะ

ปล.ส่วนตัวมองว่าความคิดเห็นทางการเมืองของน้องนิว และนักกิจกรรมคนอื่นที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่เป็นความคิดเห็นที่ถูกต้องตามสากลที่ทั่วโลกยอมรับ ซึ่งประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิที่จะเรียกร้องอย่างสันติและอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายได้ค่ะ