พาณิชย์ปิดห้องถกผู้ทรงคุณวุฒิ เตรียมแผนสั้น-ยาวรับมือสงครามการค้า

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน(เทรดวอร์) ต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และการส่งออก รวมทั้งให้พิจารณามาตรการรองรับ ล่าสุดในวันที่ 17 มิถุนายน นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) หารือกับผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงด้านต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นและมาตรการที่เหมาะสมในการรับมือปัญหาสงครามการค้า ที่กำลังเริ่มขยายออกไปในประเด็นต่างๆ เช่น เทคโนโลยี โดยจะนำความเห็นที่ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีใหม่ต่อไป

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า โดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆที่ร่วมหารือ อาทิ นายการุณ กิตติสถาพร อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายสมเกียรติ โอสถสภา นักวิชาการและคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคง สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายกิตติพงษ์ ณ ระนอง อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันดีซี นายปฐม อินทโรดม ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานคณะทำงานศึกษาผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯและจีนของ ส.อ.ท.

“ที่ประชุมหารือได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นเชิงยุทธศาสตร์หลายประเด็น โดยทุกท่านเห็นพ้องกันว่า เป็นการดีที่กระทรวงริเริ่มการหารือ เพราะความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีนคงจะไม่จบลงง่ายๆ แต่มีแนวโน้มที่จะคงอยู่ไปอีกนานพอสมควร และอาจจะขยายวงออกไปมากกว่าเรื่องการค้า ซึ่งไทยต้องมีแนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศใหญ่ทั้งสองและประเทศอื่นที่มีความสมดุล ไทยควรมองหาแนวทางการสร้างความเชื่อมโยงในอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรมเพิ่มเติมให้สอดรับกับพัฒนาการใหม่ๆ ทางเทคโนโลยี ไม่ใช่ยึดติดกับประเด็นเรื่องเดิมๆ ที่ทำมาแล้วเท่านั้น” นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า  สำหรับระยะสั้น กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่า ฝ่ายเลขานุการควรจัดทำรายการตรวจสอบ( checklist) ประเด็นอาจทำให้ไทยเป็นที่เพ่งเล็งของสหรัฐฯ เช่น การได้ดุลการค้า เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และเตรียมแนวทางรองรับอย่างมีเอกภาพร่วมกันหลายๆ หน่วยงาน รวมทั้งควรยกระดับการติดตามสอดส่องการนำเข้าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การสวมสิทธิ์ และการเข้ามาลงทุนในกิจการขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมหรือทำสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา นอกจากนี้ ควรเร่งรุกตลาดใหญ่ๆ ในภูมิภาคนอกจากจีนและอาเซียน เช่น อินเดีย ด้วย รวมทั้งควรสนับสนุนภาคบริการมากขึ้น

สำหรับระยะกลาง ที่ประชุมเสนอว่า ไทยควรมีการกำหนดกรอบการบริหารจัดการเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีความยืดหยุ่นโดยต้องร่วมกันหารือระหว่างหน่วยงานการค้า การคลัง การเงิน การลงทุน การต่างประเทศ ความมั่นคง การแข่งขัน และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาความสามารถทางการแข่งขัน สร้างภูมิคุ้มกัน และตอบโจทย์โลกที่เปลี่ยนไป

นอกจากนี้ ไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคบริการ  อย่างจริงจัง เพื่อมาเป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรมที่ในอนาคตจะมีจ้างงานคนน้อยลง เพราะระบบอัตโนมัติ และการผลิตแบบ ผลิตตามออเดอร์ลูกค้า ลดการสต๊อคสินค้าในโกดังหรือในร้าน จะทำให้ภาคการผลิตอาจไหลกลับไปสู่ประเทศเจ้าของทุนและเจ้าของเทคโนโลยีมากขึ้น หรือ re-shoring (กลับไปประเทศ) และ near-shoring (กลับไปประเทศที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ไปผลิตในเม็กซิโกที่ใกล้กับสหรัฐฯ) โดยภาคบริการนี้ ไทยควรพัฒนาทั้งแบบที่เป็นบริการเกี่ยวเนื่องกับสินค้าต่างๆ เช่น พัฒนาและวิจัย การออกแบบ การขาย โลจิสติกส์ และบริการที่เป็นคลัสเตอร์ที่สร้างรายได้ เช่น ดิจิทัล การศึกษา การท่องเที่ยว เป็นต้น อีกภาคหนึ่งที่ควรเร่งพัฒนาขึ้นมาคือ เกษตรแปรรูป ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในและสร้างรายได้เกษตรกรอีกด้วย

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวถึงประเด็นเทคโนโลยีว่า จะเป็นปัจจัยสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในอนาคต โดยด้านเศรษฐกิจ 5G จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อผู้บริโภคเข้ากับผู้ขายหรือผู้ผลิตโดยตรง ลดขั้นตอนและตัวกลางลงผ่านการใช้แพลตฟอร์ม ต่างๆ ส่วนเรื่องความมั่นคงจะเกี่ยวกับภัยไซเบอร์และการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของภาครัฐและประชาชน ซึ่งไทยต้องทำความเข้าใจผลกระทบและศักยภาพของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจีนกำลังผลักดันอย่างมากและเร็วขึ้น หลังจากพบปัญหากับสหรัฐฯ ซึ่งที่ประชุมอยากให้ฝ่ายเลขานุการวิเคราะห์ประเด็นนี้ให้ละเอียดขึ้น

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น นอกจากประเด็นที่ต้องระวังเรื่องการทุ่มตลาด การสวมสิทธิ์ และการลงทุนประเภทที่ไม่พึงปรารถนาแล้ว ที่ประชุมเห็นว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของการค้าออนไลน์นั้น แม้ว่าในทางหนึ่งจะเป็นประโยชน์ในการส่งออกของเอสเอ็มอี ไทย แต่พบว่าการเข้าถึงแพลตฟอร์มขายสินค้าของไทยยังไม่เพียงพอ แข่งกับสินค้าจาก ประเทศอื่นได้ลำบาก อีกทั้งปัจจุบันมีการเข้ามาของสินค้าต่างประเทศที่สั่งมาออนไลน์ในราคาที่ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจตราการนำเข้า หน่วยงานภาษี หน่วยงานด้านการแข่งขัน และหน่วยงานด้านมาตรฐานสินค้า ควรยกระดับการติดตามตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย และรักษาระดับมาตรฐานสินค้าเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า สำหรับการเตรียมการในระยะต่อไป ต้องขยายการดำเนินงานในประเด็นอื่นๆ อาทิ ความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเงิน การลงทุน และเทคโนโลยี เพื่อรองรับบริบทของเศรษฐกิจโลกในอนาคต โดยไทยจะต้องดำเนินนโยบายด้านการค้าและการลงทุน นโยบายการต่างประเทศ และความมั่นคงอย่างบูรณาการ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค พัฒนาระบบนิเวศทางการค้าและการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ควบคู่กับการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก  ให้เข้มแข็งมากขึ้นเพื่อสร้างรายได้ โดยผลักดันการส่งออกควบคู่กันไป ทั้งนี้ ควรมีรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ที่มีความคล่องตัว ทันสถานการณ์ และสามารถเป็นผู้แทนเพื่อเจรจาและผลักดันวาระนี้ได้ในระดับนโยบาย

“ กระทรวง ในฐานะหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิในครั้งนี้มาศึกษาบางประเด็นเพิ่มเติม ก่อนเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ครม.ใหม่พิจารณา ผลักดันการขับเคลื่อน และนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป “นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว

มติชนออนไลน์