นางแคร์รี หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ประกาศเมื่อวันที่ 11 มิถุนายนว่าจะยังคงเดินหน้าผลักดันการรับรองกฎหมายที่จะอนุญาตให้มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนต่อไป แม้ว่าจะเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในฮ่องกงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อแสดงพลังต่อต้านข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่อังกฤษส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีนในปี 2540 เป็นต้นมา

การออกมาย้ำจุดยืนของผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงมีขึ้นหลังจากที่กลุ่มผู้ประท้วงประกาศแผนที่จะนัดหยุดงานและออกมาประท้วงครั้งใหม่ในวันที่ 12 มิถุนายนนี้ ซึ่งเป็นวันที่ทางการฮ่องกงกำหนดจะนำร่างกฏหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งขณะนี้ถูกฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ครองเสียงข้างมากอยู่

ก่อนหน้านี้นางหล่ำยืนยันว่า เธอไม่คิดว่าการตัดสินใจที่จะถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากการพิจารณาในขณะนี้จะเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม เพราะจุดประสงค์ของร่างกฎหมายฉบับนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง และเธอตั้งใจที่จะเดินหน้าผลักดันเรื่องดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ดีนางหล่ำระบุว่ารัฐบาลฮ่องกงจะเดินหน้าสื่อสารและอธิบายข้อเท็จจริงกับสาธารณชนต่อไป แต่จะเกิดข้อดีกับสังคมน้อยมากหากมีการเลื่อนการพิจารณาข้อกฎหมายดังกล่าว และจะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกและความวิตกกังวลในสังคมมากขึ้นไปอีก

ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาย้ำว่า จีนจะให้การสนับสนุนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนของฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง และขอคัดค้านการออกมาแสดงความเห็นและการกระทำที่ผิดๆ โดยต่างชาติที่จะเข้ามาแทรกแซงกระบวนการนิติบัญญัติของฮ่องกง

ก่อนหน้านี้สหรัฐและสหภาพยุโรปออกมาแสดงความวิตกกังวลต่อการผลักดันร่างกฏหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากฮ่องกงไปยังจีน หลังการประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากฮ่องกงไปยังจีนถูกคัดค้านอย่างหนักจากชาวฮ่องกงที่ออกมาแสดงพลังประท้วงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนบานปลายกลายเป็นการปะทะระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง

ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อกระบวนการดังกล่าว ซึ่งสหรัฐมองว่าจะเป็นการบ่อนทำลายการบริหารประเทศภายใต้นโยบายหนึ่งประเทศสองระบบที่จีนประกาศไว้ และยังจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสถานะพิเศษของฮ่องกงภายใต้การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐชี้ด้วยว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวยังจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศของการทำธุรกิจในฮ่องกง และยังอาจจะส่งผลกระทบต่อบุคคลสัญชาติสหรัฐที่มีถิ่นพำนักหรือเดินทางเยือนฮ่องกงอีกด้วย

มติชนออนไลน์