ธนาธร ปลุก สภาล่าง ร่วมต้านสืบทอดอำนาจ เตือน อย่าโลกสวย รัฐบาลปริ่มน้ำไปไม่รอด

“ธนาธร” ตอกรัฐบาลเผยธาตุแท้หลังเลือกตั้ง “เอื้อทุนใหญ่ รวบอำนาจ ลิดรอนสิทธิ” ปลุก 500 ส.ส.ร่วมต้านสืบทอดอำนาจ ยกแรกสภาล่าง เตือน อย่าโลกสวย รัฐบาลปริ่มน้ำไปไม่รอด หวั่นซ้ำรอย 5 ปีคสช.

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 14 พฤษภาคม ที่พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.) แถลงถึง 3 เหตุผลที่พรรคอนาคตใหม่เรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ว่า หลังมีพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.)ให้มีการเลือกตั้ง ถ้าเป็นรัฐบาลปกติต้องเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ ไม่มีอำนาจเต็มในการผ่านกฎหมาย หรือการดำเนินนโยบายต้องไม่มีภาระผูกพัน โดยไม่ต้องย้อนไปไกลถึง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อบอกประชาชนและส่งสัญญาณไปยังพรรคการเมืองที่กำลังจะตัดสินใจร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ซึ่งพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ จะนำพล.อ.ประยุทธ์กลับมาอีก โดยมี 3 กรณีศึกษาคือ 1. มีการใช้ภาษีของประชาชน เอื้อกลุ่มทุนใกล้ชิดคสช. เช่น การบินไทยมีแผนซื้อเครื่องบินใหม่ 38 ลำ 1.5 แสนล้านบาท ทั้งที่เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ขาดทุน 1.2 หมื่นล้านบาท และยังมีหนี้สะสมอยู่ 1.5 แสนล้านบาท กลายเป็นภาระผูกพันไปยังรัฐบาลหน้า

นายธนาธร กล่าวว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีการออกมาตรา 44 เอื้อกลุ่มทุนโทรคมนาคมและดิจิทัลทีวี รวมกว่า 23,664 ล้านบาท ซึ่งมีกลุ่มทุนใหญ่เพียงไม่กี่กลุ่มที่ได้ประโยชน์ แทนที่เงินกว่า 2.3 หมื่นล้านบาทสามารถนำไปซื้อรถเมล์ไฟฟ้าได้ 2,366 คัน เครื่องฟอกไต 39,440 เครื่อง ส่งนักเรียนม.6 ปีนี้เรียนจบป.ตรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ 110,000 คน ล่าสุดกำลังดำเนินการจัดทำสัมปทานดิวตี้ฟรีสนามบินเอื้อกลุ่มทุนเดิม ที่พบว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 32 เท่า ใน 12 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยเติบโต 2.5 เท่าทุกๆปี เพราะมีแห่งเดียว หากเปรียบเทียบกับสนามบินเช่นเกาหลีใต้ที่เปิดสัมปทานให้กว่า 12 บริษัท จะพบว่า รายได้ดิวตี้ฟรีไทยน้อยกว่าเกาหลีใต้ 3 เท่า ทั้งที่ไทยมีนักท่องเที่ยวมากกว่าเกาหลีใต้ 3 เท่า เช่นเดียวกับสัมปทานรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ก็มีการตั้งข้อสังเกตหลายด้าน เพราะไม่ใช่แค่ประมูลรถไฟ แต่เป็นการประมูลที่ดิน เอกชนออกเงินน้อยกว่ารัฐ มีข้อเสนอเพิ่มเติมในซองที่ 4

นายธนาธร กล่าวว่า 2.ทำให้การกระจายอำนาจถอยหลัง ดึงอำนาจกลับสู่รัฐส่วนกลาง รัฐราชการที่ใหญ่โตเทอะทะ ชุดกฎหมายท้องถิ่น 6 ฉบับที่ออกมาหลังเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา สำหรับพรรคอนาคตใหม่ กฎหมายเหล่านี้เป็นโทษต่อประเทศอย่างร้ายแรง หลักใหญ่มี 3 ด้าน ประการแรกคือ เพิ่มอำนาจส่วนกลางในการควบคุมท้องถิ่น ให้อำนาจผู้ว่าฯ นายอำเภอ สั่งเรียกตักเตือน สั่งให้ผู้บริหารท้องถิ่นหยุดการทำหน้าที่ได้ ต่อไปองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ต้องฟังนายอำเภอที่มาจากการแต่งตั้งของข้าราชการส่วนกลาง ทั้งที่พวกเขามาจากการเลือกตั้งของประชาชน การกระจายอำนาจที่เริ่มต้นมาเมื่อปี 2540 กำลังถูกพังลงอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ประการที่สอง ลดอำนาจทำลายความอิสระ ตัดอำนาจเสนอนโยบายออกไป ให้แต่บริหารจัดการบริการสาธารณะ การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยออกระเบียบ ท้องถิ่นไม่มีอำนาจออกระเบียบ

นายธนาธร กล่าวว่า ประการที่สาม ลดความสำคัญของการเลือกตั้ง มีการยกเลิกสมาชิกสภาเขต(ส.ข.) ที่สำคัญ ผู้ว่ากรุงเทพฯและพัทยา อาจจะมาจากการแต่งตั้งก็ได้ ความพยายามต่อสู้ของประชาชนในการพยายามดููแลตนเองให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของตน ถูกดึงกลับส่วนกลางทั้งหมด ภาษีถูกนำมาโอบอุ้มรัฐราชการที่ใหญ่เทอะทะ ซึ่งนี่เป็นนโยบายของพรรคอนาคตใหม่ที่ต้องการกระจายอำนาจ แล้วทุกพรรคใหญ่ที่หาเสียงก่อนการเลือกตั้งทุกคนก็พูดตรงกันหมดว่า จะยุติรัฐราชการรวมศูนย์ แล้วการร่วมรัฐบาลที่ผลักดันกฎหมายเหล่านี้ออกมาจะตอบประชาชนได้อย่างไร เพราะพวกคุณบอกให้กระจายอำนาจ ตกลงแล้วจุดยืนและอุดมการณ์ของคุณอยู่ตรงไหนบ้าง

นายธนาธร กล่าวอีกว่า 3.การริดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จากกฎหมายอีก 2 ฉบับ คือพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และพ.ร.บ.ข่าวกรองแห่งชาติ ที่ออกมาระหว่างก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง มีเนื้อหาลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่เพิ่มอำนาจให้รัฐบาลแฮ็กและตรวจสอบโซเชียลมีเดียประชาชนได้ ให้อำนาจฝ่ายบริหาร ฝ่ายความมั่นคง เพียงถ้าเขาเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง คำถามคือ อะไรคือภัยความมั่นคง ตนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเพื่อความเท่าเทียม ถามว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือภัยต่อความมั่นคงของผู้มีอำนาจในปัจจุบันกันแน่ ซึ่งนี่คือการปิดปากประชาชนไม่ให้พูดไม่ให้แสดงออก ทำให้กลไกอำนาจรัฐเข้มแข็งขึ้น มีเงินเอาอำนาจรัฐเข้าส่วนกลางแล้วปิดปากคนต่อต้านคนวิจารณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง เวลาเป็นเรื่องสำคัญเพราะแสดงธาตุแท้ ก่อนการเลือกตั้งคุณต้องไปขอประชาชน แต่หลังการเลือกตั้งไม่ต้องฟังแล้ว

“ผมอยากสื่อสารไปยังพรรคการเมืองอื่นว่า นี่คือสิ่งที่สังคมอยากเห็นหรือ ในการร่วมสืบทอดอำนาจของเผด็จการ ตอบกับประชาชนหน่อยว่า ทำไมจึงร่วมรัฐบาลกับเขา นี่คือเรื่องที่รัฐบาลกำลังทำและจะทำเรื่องพวกนี้ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ใครที่ตัดสินใจไปแล้วขอให้ตอบหน่อย ส่วนพรรคที่ยังไม่ตัดสินใจ ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยว่า มีฝันอยากเห็นประเทศนี้เป็นอย่างไรกันแน่ บอกพวกเราหน่อยว่า คุณใช้อะไรตัดสินใจในการร่วมรัฐบาล ที่ผ่านมาในแง่หนึ่ง รูปแบบกองทัพในปัจจุบัน ทำให้เกิดรัฐประหารวงจรอุบาทว์ แต่อีกแง่หนึ่งก็มีนักการเมืองไปสนับสนุนวงจรนี้ นักการเมืองที่ต้องประณามไม่ใช่แค่คอรัปชั่น แต่ต้องประณามนักการเมืองที่สนับสนุนการรัฐประหารด้วย ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีประเทศไทยถึงจะกลับไปเป็นแบบปี 2548 ได้อีก เพราะตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ประเทศไทยดิ่งเหวมาโดยตลอด นี่คือสาส์นที่ผมอยากส่งไปถึงทุกพรรค”นายธนาธรกล่าว

เมื่อถามว่า หากไม่ได้เป็นรัฐบาล จะดำเนินการแก้ไขเรื่องเหล่านี้อย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า ถ้าไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแก้ไข ก็ต้องใช้กลไกรัฐสภา ตั้งกระทู้ เสนอญัตติอภิปราย มีส.ส.มากกว่า 20 คน เสนอกฎหมายได้ ผลักดันวาระผ่านการเป็นกรรมาธิการ(กมธ.)ต่างๆได้ ต่อให้ไม่มีอำนาจบริหารในการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง แต่เรามีช่องทางปกป้องผลประโยชน์และสิทธิเสรีภาพของประชาชน

เมื่อถามว่า คาดหวังอย่างไรต่อการจัดตั้งรัฐบาล นายธนาธร กล่าวว่า คาดหวังกับทุกคนทุกพรรคการเมือง สิ่งที่จะเกิดขึ้นใน 7 วันข้างหน้า จะตัดสินอนาคตประเทศไทย นี่คือเรื่องใหญ่มากกว่าตัวใครคนหนึ่ง การตัดสินใจของส.ส. 500 คน จะกำหนดอนาคตของประเทศ ถ้าคสช.สืบทอดอำนาจได้ ไม่รู้จะได้ประชาธิปไตยกลับมาเมื่อไร หลายคนมองโลกสวยบอกอยู่ได้ไม่ถึงปี แต่ปี 2557 เห็นแล้วว่า 5 ปี การตัดสินใจในอีก 7 วันข้างหน้า จะทำให้เห็นว่าประเทศไทยจะไปในเส้นทางไหน ตนไม่ได้คาดหวังกับพรรคสองพรรค แต่คาดหวังกับคนที่เรียกตนเองว่าเป็นส.ส.ทุกคน

“ช่องแรกคือต้องเอาชนะกันที่สภาล่างคือ 250 เสียง เราถูกขโมยไปแล้ว 7 เสียง จากการคิดส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของกกต. ซึ่งคือการเปลี่ยนประเทศไปแล้วรอบหนึ่ง ความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ที่ฝ่ายไม่สนับสนุนคุณประยุทธ์ ซึ่งเกิน 250 ไปแล้ว แต่พอใช้อีกสูตรหนึ่ง เสียงต่ำกว่า 250 เสียงทันที เมื่อใช้สูตรแบบนี้ เราถอยหลังกลับมา เพราะการตัดสินใจของคน 7 คน เปลี่ยนทิศทางของประเทศไปทันที เราจึงต้องมาวิ่งหามันว่า จะก้าวข้ามเส้น 250 ได้อย่างไร จึงต้องเอาชนะที่สภาล่างเพื่อความชอบธรรมก่อน ถ้าสู้สภาล่างไม่จบ ส.ว.ก็จะเข้ามาอีก และอย่าลืมว่ายังมีกลไกของศาลรัฐธรรมนูญอีก นี่คือการเดินทางที่ยากลำบาก เดินทางขึ้นเขา แต่ถ้าไม่เริ่มวันนี้ อีก 10 ปีก็ไม่ถึงเสียที”นายธนาธรกล่าว

เมื่อถามถึง การสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯจากพรรคขั้วที่ 3 อย่างพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)หรือพรรคภูมิใจไทย(ภท.) นายธนาธร กล่าวว่า รอบแรกแคนดิเดตนายกฯมี 7 คน คือ พรรคเพื่อไทย(พท.) 3 คน นายธนาธร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และคุณลุง ไม่มีคนอื่น ถ้าตกลงร่วมกันว่า การสืบทอดอำนาจไม่ควรจะเกิดขึ้น แล้วมาคุยกัน ใครเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายใดรวมเสียงเกิน 251 เสียง ใครเหมาะสมนายกฯก็เป็นเลย อย่างแรกต้องยืนยันก่อนว่า ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ

เมื่อถามว่า หาก 11 พรรคเล็กร่วมกับพรรคพปชร.ได้เป็นรัฐบาล พรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ต้องเป็นฝ่ายค้าน นายธนาธร กล่าวว่า ยังไม่อาจสรุปได้ ฝ่ายต่อต้านคสช.มี 245 เสียง ถ้ามีนายอนุทินเข้ามารวมเป็น 290 กว่า แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่โหวตใคร จะโหวตนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็ต้องไปรอบสอง เพราะไม่มีใครเกิน 250 เสียงเลย ต้องใช้ส.ว. มีความเป็นไปได้ทุกทางตอนนี้ รายชื่อส.ว.ก็ยังไม่ออก เกินข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญที่ต้องเปิดรายชื่อส.ว.ออกมาแล้ว หากมองอนาคตเพื่อลูกหลาน การเข้าร่วมสืบทอดอำนาจ ไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ดี ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้เป็นศัตรูกับ 11 พรรค เพราะคนที่แย่งคะแนนอนาคตใหม่ไป 6 แสนคะแนนคือ กกต. ตนไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับ 11 พรรค ไม่ได้ติดใจอะไร ในเรื่องนี้เราต้องเรียกร้องความเป็นธรรมจากกกต.ต่อไป

มติชนออนไลน์